มาตรา
๒๕ (๕) ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม เป็นมาตราที่สร้างความสงสัยให้แก่นักเรียนกฎหมายอย่างมาก ในส่วนของอำนาจการพิจารณาพิพากษาของผู้พิพากษาคนเดียว
สำหรับการลงโทษจำคุกในคดีอาญา
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า
อำนาจการพิจารณากับพิพากษา เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน อำนาจการพิจารณาคือ
อำนาจในการนั่งพิจารณาคดีอาญา คือการนั่งพิจารณาสำนวนคดี
ในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล ส่วนอำนาจพิพากษาคืออำนาจในการพิจารณาลงโทษโดยทำเป็นคำพิพากษา
ผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจที่จะนั่งพิจารณาได้ในคดีอาญาที่มีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือ ไม่เกินหกหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
แต่ถ้าจะลงโทษจำคุกเกินหกเดือนหรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ ไม่สามารถพิพากษาลงได้ จะต้องอาศัยองค์คณะตามมาตรา ๒๖
มาตรา
๒๕ ในศาลชั้นต้น
ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น
ดังต่อไปนี้
(๑) ไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลในคดีทั้งปวง
(๒) ไต่สวนและมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัย
(๓) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา
(๔) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
(๕) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้
ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม (๓) (๔) หรือ (๕)
(๑) ไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลในคดีทั้งปวง
(๒) ไต่สวนและมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัย
(๓) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา
(๔) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
(๕) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้
ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม (๓) (๔) หรือ (๕)
มาตรา
๒๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๕ ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น
นอกจากศาลแขวงและศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนและต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจำศาลเกินหนึ่งคน
จึงเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวง
ตัวอย่าง นายดำ เป็นผู้พิพากษาศาลชั้นต้น พิจารณาคดีอาญาข้อหาฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑
ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นายดำสามารถนั่งพิจารณาคดีนี้เพียงนายเดียวได้ และสามารถลงโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนได้ (สูงสุดลงโทษได้หกเดือนเต็ม)
แต่ถ้านายดำจะลงโทษจำคุกเจ็ดเดือน นายดำไม่สามารถทำคำพิพากษาเพียงคนเดียวได้
ต้องให้นายขาว ผู้พิพากษาในศาลนั้น เป็นองค์คณะด้วย
หมายเหตุ อัตราโทษที่จะลงนี้
ต้องเป็นโทษสุทธิ คือโทษที่ลดหรือเพิ่มเรียบร้อยแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น