วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ Arbitration ตอนที่ ๒



ติดตามอ่าน ประวัติศาสตร์ของอนุญาโตตุลาการได้ที่นี่

http://natjar2001law.blogspot.com/2012/10/blog-post_6445.html?spref=fb

อนุญาโตตุลาการในสมัยปัจจุบัน

หลักการของอนุญาโตตุลาการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
                        ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา  210 222  ไว้ว่าหลักเกณฑ์ของอนุญาโตตุลาการไว้ดังนี้
                        1.  การตั้งอนุญาโตตุลาการ  เป็นความยินยอมพร้อมใจของคู่กรณี  โดยต้องตั้งกันเสียก่อนที่ศาลจะได้มีคำพิพากษา
                        2.  คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในกรณีที่คดีขึ้นสู่ศาลแล้ว    ศาลจะพิพากษาไปตามนั้น  หากเห็นว่าคำชี้ขาดนั้นไม่ขัดต่อกฎหมาย
                        3.  คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ชี้ขาดแล้ว  คู่ความจะอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้  เว้นแต่คำชี้ขาดนั้นขัดต่อตัวบทกฎหมาย  หรือถ้าเห็นว่าคำชี้ขาดอาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ศาลอาจมีคำสั่งให้อนุญาโตตุลาการ  หรือคู่ความที่เกี่ยวข้องแก้ไขเสียก่อนในเวลาอันสมควรที่กำหนดไว้ก็ได้

ผู้ที่จะเป็นอนุญาโตตุลาการในศาล

                        กฎหมายไทยมิได้บัญญัติห้ามผู้พิพากษาเป็นอนุญาโตตุลาการ  อย่างไรก็ตามในคดีที่ผู้พิพากษานั้นนั่งพิจารณาอยู่    ท่านจะเป็นอนุญาโตตุลาการให้แก่คดีนั้นไม่ได้  (คำพิพากษาฎีกาที่  777/2476  และ  1648/2487)               ส่วนผู้พิพากษาที่ไม่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้น        ก็ไม่อาจรับเป็นอนุญาโตตุลาการได้             เนื่องจากประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการข้อ  32  ระบุไว้ชัดเจนว่าผู้พิพากษาไม่พึงรับเป็นอนุญาโตตุลาการ   หรือผู้ประนอมข้อพิพาท   เพราะเหตุว่าการทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการมิใช่ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี     อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษาได้
 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา  210 222  ไว้ว่าหลักเกณฑ์ของอนุญาโตตุลาการไว้ดังนี้
สามารถตกลงกันให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทในบางประเด็น     หรือทั้งหมดแทนการพิจารณาคดีตามปกติของศาลได้

หลักการของอนุญาโตตุลาการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

                        ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา  210 222  ไว้ว่าหลักเกณฑ์ของอนุญาโตตุลาการไว้ดังนี้
                        1.  การตั้งอนุญาโตตุลาการ  เป็นความยินยอมพร้อมใจของคู่กรณี  โดยต้องตั้งกันเสียก่อนที่ศาลจะได้มีคำพิพากษา
                        2.  คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในกรณีที่คดีขึ้นสู่ศาลแล้ว    ศาลจะพิพากษาไปตามนั้น  หากเห็นว่าคำชี้ขาดนั้นไม่ขัดต่อกฎหมาย
                        3.  คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ชี้ขาดแล้ว  คู่ความจะอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้  เว้นแต่คำชี้ขาดนั้นขัดต่อตัวบทกฎหมาย  หรือถ้าเห็นว่าคำชี้ขาดอาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ศาลอาจมีคำสั่งให้อนุญาโตตุลาการ  หรือคู่ความที่เกี่ยวข้องแก้ไขเสียก่อนในเวลาอันสมควรที่กำหนดไว้ก็ได้

ผู้ที่จะเป็นอนุญาโตตุลาการในศาล

                        กฎหมายไทยมิได้บัญญัติห้ามผู้พิพากษาเป็นอนุญาโตตุลาการ  อย่างไรก็ตามในคดีที่ผู้พิพากษานั้นนั่งพิจารณาอยู่    ท่านจะเป็นอนุญาโตตุลาการให้แก่คดีนั้นไม่ได้  (คำพิพากษาฎีกาที่  777/2476  และ  1648/2487)               ส่วนผู้พิพากษาที่ไม่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้น        ก็ไม่อาจรับเป็นอนุญาโตตุลาการได้             เนื่องจากประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการข้อ  32  ระบุไว้ชัดเจนว่าผู้พิพากษาไม่พึงรับเป็นอนุญาโตตุลาการ   หรือผู้ประนอมข้อพิพาท   เพราะเหตุว่าการทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการมิใช่ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี     อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษาได้

การอนุญาโตตุลาการนอกศาล
                        วิธีการอนุญาโตตุลาการ  เกิดจากความยินยอมพร้อมใจ  ดังนั้น  ข้อตกลงให้ใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการจึงเกิดจากสัญญา      การระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการอนุญาโตตุลาการมีลักษณะสำคัญดังนี้
                        1.  อนุญาโตตุลาการเป็นวิธีการในการระงับข้อพิพาทวิธีหนึ่ง  ส่วนข้อพิพาทอะไรบ้างที่จะระงับโดยอนุญาโตตุลาการได้นั้น  ย่อมเป็นไปตามนโยบายของกฎหมายของแต่ละประเทศว่า  กิจการใดบ้างที่มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยที่ต้องการให้ศาลเท่านั้นเป็นผู้พิจารณาและตัดสินข้อพิพาทในกิจการดังกล่าว
                        2.  บุคคลที่จะทำการระงับข้อพิพาทหรือทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการนั้น  จะต้องไม่ใช่ผู้เป็นคู่กรณีในข้อพิพาทนั้นเอง  หากแต่เป็นบุคคลภายนอกที่เป็นกลาง  จะมีจำนวนหนึ่งคนหรือหลายคนก็ได้  โดยได้รับเลือกหรือแต่งตั้งจากคู่กรณี หรือได้รับการแต่งตั้งตามวิธีการที่คู่กรณีได้ตกลงกันไว้  หรือตามกฎหมายกำหนดเพื่อทำการชี้ขาดข้อพิพาทในเรื่องใด ๆ โดยเฉพาะ
                        3.  ขอบเขตอำนาจของอนุญาโตตุลาการในการพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทนั้นเป็นไปตามข้อตกลงของคู่กรณี  ดังนั้นอนุญาโตตุลาการจะกระทำการเกินขอบเขตอำนาจที่คู่กรณีกำหนดไว้ในสัญญาไม่ได้  ส่วนคู่กรณีจะมีเสรีภาพในการทำสัญญามากน้อยเพียงใด  เป็นเรื่องที่กฎหมายอนุญาโตตุลาการและกฎหมายนิติกรรมสัญญาของแต่ละประเทศจะบัญญัติไว้                            
4.  อนุญาโตตุลาการต้องทำการชี้ขาดข้อพิพาทตามกระบวนการวิธีพิจารณาความ จะตัดสิน
ตามอำเภอใจไม่ได้   แต่อนุญาโตตุลาการก็ไม่ต้องผูกติดอยู่กับตัวบทกฎหมายวิธีพิจารณาโดยเคร่งครัดเหมือนศาล   เพราะเจตนารมณ์ของการอนุญาโตตุลาการคือความต้องการที่จะลดความยุ่งยากในเรื่องของพิธีการและขั้นตอนที่ซับซ้อนของกระบวนการพิจารณาคดีในศาล       เป็นต้นว่าต้องให้คู่กรณีทุกฝ่ายมีโอกาสเท่าเทียมกันในการต่อสู้คดี         และจะต้องตัดสินโดยอาศัยการรับฟังพยานหลักฐานที่คู่กรณีนำมาเสนอ      
                        5.  อนุญาโตตุลาการเป็นวิธีการพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาท   อันเป็นกระบวนการพิจารณาที่เอกชนทำกันเอง  ดังนั้นกฎหมายในประเทศต่าง ๆ จึงพยายามให้เสรีภาพแก่เอกชนมากที่สุดเพื่อให้ตกลงกันในเรื่องของวิธีพิจารณาความ    การแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการ    และอำนาจหน้าที่ของอนุญาโตตุลาการ       โดยรัฐจะมีบทบาทในฐานะที่เป็นผู้คอยช่วยเหลือให้การอนุญาโตตุลาการเป็นไปด้วยดี  และพยายามหลีกเลี่ยงการแทรกแซงที่ไม่จำเป็น
                        6.  คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น  โดยทั่วไปแล้วถือว่าถึงที่สุด  หมายความว่ามีผลเป็นการยุติข้อพิพาททั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย    และคู่กรณีจะต้องผูกพันตามคำชี้ขาดนั้น     เมื่อคู่กรณีฝ่ายที่แพ้คดีไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาด     อีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถอาศัยองค์กรของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรม  ให้ทำการบังคับคำชี้ขาดนั้นได้
                        7.  การพิจารณาและการทำคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ   ไม่ใช่การใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลของรัฐ โดยปกติแล้วศาลจะเข้ามาเกี่ยวข้องก็เพียงกรณีที่จำเป็นเพื่อให้คู่กรณีปฏิบัติตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ         ตรวจสอบกระบวนการพิจารณาคดีและบังคับตามคำชี้ขาดเท่านั้น  ซึ่งขอบเขตการแทรกแซงของศาลอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ                   เมื่อการชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ใช่การใช้อำนาจอธิปไตย       การนำคำชี้ขาดไปให้ศาลต่างประเทศยอมรับหรือบังคับให้จึงง่ายกว่าการนำคำพิพากษาของศาลไปให้ศาลต่างประเทศยอมรับและบังคับให้



ผู้ที่จะเป็นอนุญาโตตุลาการในศาล

                        กฎหมายไทยมิได้บัญญัติห้ามผู้พิพากษาเป็นอนุญาโตตุลาการ  อย่างไรก็ตามในคดีที่ผู้พิพากษานั้นนั่งพิจารณาอยู่    ท่านจะเป็นอนุญาโตตุลาการให้แก่คดีนั้นไม่ได้  (คำพิพากษาฎีกาที่  777/2476  และ  1648/2487)               ส่วนผู้พิพากษาที่ไม่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้น        ก็ไม่อาจรับเป็นอนุญาโตตุลาการได้             เนื่องจากประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการข้อ  32  ระบุไว้ชัดเจนว่าผู้พิพากษาไม่พึงรับเป็นอนุญาโตตุลาการ   หรือผู้ประนอมข้อพิพาท   เพราะเหตุว่าการทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการมิใช่ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี     อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษาได้

การอนุญาโตตุลาการนอกศาล
                        วิธีการอนุญาโตตุลาการ  เกิดจากความยินยอมพร้อมใจ  ดังนั้น  ข้อตกลงให้ใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการจึงเกิดจากสัญญา      การระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการอนุญาโตตุลาการมีลักษณะสำคัญดังนี้
                        1.  อนุญาโตตุลาการเป็นวิธีการในการระงับข้อพิพาทวิธีหนึ่ง  ส่วนข้อพิพาทอะไรบ้างที่จะระงับโดยอนุญาโตตุลาการได้นั้น  ย่อมเป็นไปตามนโยบายของกฎหมายของแต่ละประเทศว่า  กิจการใดบ้างที่มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยที่ต้องการให้ศาลเท่านั้นเป็นผู้พิจารณาและตัดสินข้อพิพาทในกิจการดังกล่าว
                        2.  บุคคลที่จะทำการระงับข้อพิพาทหรือทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการนั้น  จะต้องไม่ใช่ผู้เป็นคู่กรณีในข้อพิพาทนั้นเอง  หากแต่เป็นบุคคลภายนอกที่เป็นกลาง  จะมีจำนวนหนึ่งคนหรือหลายคนก็ได้  โดยได้รับเลือกหรือแต่งตั้งจากคู่กรณี หรือได้รับการแต่งตั้งตามวิธีการที่คู่กรณีได้ตกลงกันไว้  หรือตามกฎหมายกำหนดเพื่อทำการชี้ขาดข้อพิพาทในเรื่องใด ๆ โดยเฉพาะ
                        3.  ขอบเขตอำนาจของอนุญาโตตุลาการในการพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทนั้นเป็นไปตามข้อตกลงของคู่กรณี  ดังนั้นอนุญาโตตุลาการจะกระทำการเกินขอบเขตอำนาจที่คู่กรณีกำหนดไว้ในสัญญาไม่ได้  ส่วนคู่กรณีจะมีเสรีภาพในการทำสัญญามากน้อยเพียงใด  เป็นเรื่องที่กฎหมายอนุญาโตตุลาการและกฎหมายนิติกรรมสัญญาของแต่ละประเทศจะบัญญัติไว้                            
      4.  อนุญาโตตุลาการต้องทำการชี้ขาดข้อพิพาทตามกระบวนการวิธีพิจารณาความ จะตัดสิน
ตามอำเภอใจไม่ได้   แต่อนุญาโตตุลาการก็ไม่ต้องผูกติดอยู่กับตัวบทกฎหมายวิธีพิจารณาโดยเคร่งครัดเหมือนศาล   เพราะเจตนารมณ์ของการอนุญาโตตุลาการคือความต้องการที่จะลดความยุ่งยากในเรื่องของพิธีการและขั้นตอนที่ซับซ้อนของกระบวนการพิจารณาคดีในศาล       เป็นต้นว่าต้องให้คู่กรณีทุกฝ่ายมีโอกาสเท่าเทียมกันในการต่อสู้คดี         และจะต้องตัดสินโดยอาศัยการรับฟังพยานหลักฐานที่คู่กรณีนำมาเสนอ      
                        5.  อนุญาโตตุลาการเป็นวิธีการพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาท   อันเป็นกระบวนการพิจารณาที่เอกชนทำกันเอง  ดังนั้นกฎหมายในประเทศต่าง ๆ จึงพยายามให้เสรีภาพแก่เอกชนมากที่สุดเพื่อให้ตกลงกันในเรื่องของวิธีพิจารณาความ    การแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการ    และอำนาจหน้าที่ของอนุญาโตตุลาการ       โดยรัฐจะมีบทบาทในฐานะที่เป็นผู้คอยช่วยเหลือให้การอนุญาโตตุลาการเป็นไปด้วยดี  และพยายามหลีกเลี่ยงการแทรกแซงที่ไม่จำเป็น
                        6.  คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น  โดยทั่วไปแล้วถือว่าถึงที่สุด  หมายความว่ามีผลเป็นการยุติข้อพิพาททั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย    และคู่กรณีจะต้องผูกพันตามคำชี้ขาดนั้น     เมื่อคู่กรณีฝ่ายที่แพ้คดีไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาด     อีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถอาศัยองค์กรของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรม  ให้ทำการบังคับคำชี้ขาดนั้นได้
                        7.  การพิจารณาและการทำคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ   ไม่ใช่การใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลของรัฐ โดยปกติแล้วศาลจะเข้ามาเกี่ยวข้องก็เพียงกรณีที่จำเป็นเพื่อให้คู่กรณีปฏิบัติตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ         ตรวจสอบกระบวนการพิจารณาคดีและบังคับตามคำชี้ขาดเท่านั้น  ซึ่งขอบเขตการแทรกแซงของศาลอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ                   เมื่อการชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ใช่การใช้อำนาจอธิปไตย       การนำคำชี้ขาดไปให้ศาลต่างประเทศยอมรับหรือบังคับให้จึงง่ายกว่าการนำคำพิพากษาของศาลไปให้ศาลต่างประเทศยอมรับและบังคับให้

ตอนหน้าพบกับ รูปแบบของอนุญาโตตุลาการ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น