วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ม.๒๒๔ ป.วิแพ่ง ตอนที่ ๑


มาตรา 224    ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา  ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง  เว้นแต่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้  หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้  หรือถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคำรับรองเช่นว่านี้    ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอำนาจ แล้วแต่กรณี
          บทบัญญัติในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัวและคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เว้นแต่ในคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ  ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้    ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
          การขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ให้ผู้อุทธรณ์ยื่นคำร้องถึงผู้พิพากษานั้นพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลชั้นต้น  เมื่อศาลได้รับคำร้องเช่นว่านั้น   ให้ศาลส่งคำร้องพร้อมด้วยสำนวนความไปยังผู้พิพากษาดังกล่าวเพื่อพิจารณารับรอง


อธิบาย

            ในมาตรา ๒๒๔ นี้ มีปัญหาที่นักศึกษาจะต้องทำความเข้าใจอยู่หลายประเด็น จึงขอแยกบรรยาย เป็นตอนๆ เป็นประเด็นไป
ห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง  เว้นแต่ทุนทรัพย์เกิน 50,000 บาท 
ถ้าเป็นปัญหาข้อกฎหมายอุทธรณ์ได้เสมอเว้นแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่ได้ว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น หรือไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยฯ  หรือไม่เป็นสาระสำคัญอันควรแก่การวินิจฉัย

ประเด็นแรกที่นักศึกษาจะต้องทำความเข้าใจคือ ทุนทรัพย์คืออะไร  อย่างไรชื่อว่าทุนทรัพย์ จำนวนของทุนทรัพย์คิดกันอย่างไร 

1.  ราคาทรัพย์สินกับจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์มีความหมายแตกต่างกัน   ทั้งนี้เพราะราคาทรัพย์สินเป็นการฟ้องเรียกเอาตัวทรัพย์  ส่วนทุนทรัพย์พิพาทกันนั้นเป็นการฟ้องเรียกให้ชำระตัวเงินที่กำหนดไว้แล้ว   ราคาทรัพย์สินที่ตีราคามาแต่แรกแล้วไม่เปลี่ยนไปในชั้นอุทธรณ์แต่ทุนทรัพย์อาจเปลี่ยนแปลงไปแตกต่างจากที่ฟ้องมาในศาลชั้นต้นได้  ดังนั้นราคาทรัพย์สินที่พิพาทต้องถือเอาตามที่โจทก์ยื่นฟ้องจะนำเอาราคาทรัพย์สินที่อาจเปลี่ยนแปลงขึ้นหรือลงในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นมาคำนวนเป็นราคาทรัพย์สินในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้ (1439/39)
2.  ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์พิพาทที่ถูกจำกัดสิทธิห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงคือไม่เกิน 50,000 บาท   อนึ่ง  จำนวนทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ของฝ่ายโจทก์กับจำเลยในการใช้สิทธิอาจแตกต่างกันเช่น  โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ 100,000 บาท   จำเลยให้การต่อสู้หลายประการ เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จศาลพิพากษาดังนี้
2.1        พิพากษายกฟ้อง
2.2        พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์  80,000 บาท
2.3        พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์  20,000 บาท
ตามข้อ 1   หากโจทก์ประสงค์จำอุทธรณ์ โจทก์ต้องขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระเงิน 100,000 บาท ซึ่งเกิน 50,000 บาท ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ตามข้อ 2   หากโจทก์ประสงค์จะอุทธรณ์  คงต้องอุทธรณ์ขอให้ศาลแก้ไขคำพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ในส่วนที่ยังขาดอยู่คือ  20,000 บาท   กรณีนี้เป็นทุนทรัพย์พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท    ต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง  ส่วนฝ่ายจำเลยถ้าอุทธรณ์ก็คงต้องอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์ดังนั้นทุนทรัพย์ของฝ่ายจำเลยจึงมีจำนวน 80,000 บาท ไม่ต้องห้าม
ตามข้อ หากโจทก์ประสงค์จะอุทธรณ์ต้องอุทธรณ์ขอให้ศาลแก้ไขพิพากษาในส่วนที่ขาดอีก 80,000 บาทดังนี้ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์  ส่วนฝ่ายจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์เท่ากับทุนทรัพย์  20,000  บาท   ห้ามอุทธรณ์
ฎีกาที่  1459/39   อุทธรณ์ของจำเลยเป็นการโต้เถียงว่าที่พิพาททั้งหมดมิใช่ทรัพย์มรดกหากข้อเท็จจริงเป็นดังที่จำเลยอุทธรณ์    จำเลยย่อมได้รับผลตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งคดี จึงเป็นคดีที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ตามราคาทรัพย์พิพาทคือ  54,000  บาท  โดยไม่แยกทุนทรัพย์ตามที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องเมื่อที่พิพาทมีราคาเกินกว่าห้าหมื่นบาท จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง  (ส่วนฝ่ายโจทก์ต้องแยกทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนไม่คิดรวมกัน เมื่อแยกแล้วไม่เกิน 50,000 บาท ฝ่ายโจทก์ห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง)
ฎีกาที่  2433/38    โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันบุกรุกที่ดินของโจทก์ในลักษณะที่จำเลยทั้งสามต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วมแม้จะฟ้องรวมกันและเสียค่าขึ้นศาลรวมกันมาในคดีเดียวกัน   แต่คดีสำหรับจำเลยคนใดจะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้หรือไม่  ต้องแยกพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์ตามที่จำเลยแต่ละคนพิพาทกับโจทก์ เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ตามคดีของจำเลยแต่ละคนไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ฎีกาที่  53-54/40   คำฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เรียกร้องสิทธิในที่ดินเป็นคนละแปลงกัน โดยต่างยื่นคำฟ้องและเสียค่าขึ้นศาลในส่วนคดีของตนแยกกันเป็นส่วนสัด การรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันจึงเป็นไปเพื่อความสะดวกของคู่ความและศาลเท่านั้น หามีผลทำให้สามารถนำทุนทรัพย์ของแต่ละสำนวนที่โจทก์ฟ้องมารวมคิดเป็นจำนวนเดียวกันได้แต่อย่างใดไม่ทั้งการที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองมาทั้งสองสำนวนก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการรับรองให้คู่ความในสำนวนที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท อุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้โดยปริยายแต่อย่างใด เพราะการรับรองให้คู่ความอุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้นั้นจะต้องเกิดจากการร้องขอคู่ความผู้ประสงค์จะอุทธรณ์โดยทำเป็นคำร้องขอยื่นต่อศาลให้เป็นกิจจะลักษณะและต้องมีคำสั่งศาลรับรองให้อุทธรณ์ได้โดยชัดแจ้งด้วย ส่วนราคาทรัพย์ที่พิพาทที่จะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ของแต่ละคดีนั้นต้องถือเอาในขณะยื่นคำฟ้องเป็นหลัก
ถ้าฟ้องแล้วขอหักกลบลบหนี้กับจำเลย จำนวนทุนทรัพย์คือจำนวนตามฟ้องลบด้วยจำนวนที่ขอหักกลบลบหนี้  (จำนวนทุนทรัพย์ = ฟ้อง จำนวนที่ขอหักกลบ)
ฎีกาที่  6420/40   ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เนื่องจากฟังข้อเท็จจริงว่า หนี้ที่จำเลยต้องชำระมีเพียง 28,000 บาท เมื่อโจทก์รับว่าเป็นหนี้จำเลย 39,000 บาท และขอหักกลบลบหนี้ จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยชดใช้เงิน 63,000 บาท จึงมีจำนวนทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์เพียง 45,000 บาท (63,000 – 28000 = 45,000 บาท) ไม่เกิน 50,000 บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาที่  5894/41  โจทก์ฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 105,000 บาท  ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพียง 50,000 บาท เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์เท่ากับโจทก์พอใจในคำพิพากษา  เมื่อจำเลยอุทธรณ์แต่ฝ่ายเดียวว่าไม่ต้องรับผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา เท่ากับทุนทรัพย์ในคดีเป็น 50,000 บาท จะนำดอกเบี้ยนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จมาคำนวนเป็นทุนทรัพย์ด้วยไม่ได้  คดีนี้จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้
3.            การจะพิจารณาว่าคดีใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่    ไม่ต้องคำนึงว่าคดีนั้นเกี่ยวด้วยอสังหาฯ
หรือไม่  มีข้อพิจารณาเพียงราคาทรัพย์สินอันเป็นจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์เกิน 50,000 บาท
            4.  คดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้ง ผู้เช่า    ผู้อาศัย   และผู้ละเมิดด้วย
(กฎหมายเดิมผู้ละเมิดไม่อยู่ในบังคับมาตรานี้จึงอุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้  กฎหมายปัจจุบันรวมผู้ละเมิดให้อยู่ในบังคับด้วย )
            5.  คดีฟ้องขับไล่หรือเรียกเอาค่าเช่า หรืออาจให้เช่าได้ขณะยื่นฟ้องไม่เกิน 4,000 บาท หมายความว่าการฟ้องบุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์ถ้าอสังหาริมทรัพย์นั้นอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ก็ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
            การจะถือว่าค่าเช่าขณะยื่นฟ้องเท่าใดมีหลักการพิจารณาว่าในชั้นแรกถ้าโจทก์ยื่นฟ้องระบุค่าเช่ามาและจำเลยมิได้โต้แย้งเรื่องค่าเข่า ต้องถือค่าเช่าตามฟ้องโจทก์  ถ้าฟ้องเรียกค่าเช่าและค่าเสียหาย ค่าเสียหายมิใช่ค่าเช่าดูเฉพาะค่าเช่าว่าเกิน 4,000 บาทหรือไม่
ฎีกาที่  1466-1468/18   ฟ้องขับไล่ผู้เช่าจากที่ดินและตึกแถวค่าเช่าเดือนละ 150 บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตาม  ป... มาตรา 224 วรรค  2   แม้จะเรียกค่าเสียหายมาด้วยเดือนละ 10,000 บาท     ก็เป็นค่าเสียหายในอนาคตเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องขับไล่ จึงอุทธรณ์ข้อเท็จจริงไม่ได้   
ถ้าคดีฟ้องขับไล่นั้นจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ด้วย  ต้องถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง  ตามราคาอสังฯ
ที่พิพาทกันไม่ต้องดูเรื่องค่าเช่า  แต่ถ้าเป็นการโต้เถียงว่าเป็นของบุคคลอื่นไม่ใช่ของจำเลยไม่ใช่ต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์  ต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ต้องเถียงว่าเป็นของจำเลย
ฎีกาที่  1501,1502/17    โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่า อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ว่าที่ดินและห้องพิพาทเป็นของบุคคลอื่น ไม่ใช่ของโจทก์  ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ยกข้อต่อสู้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์  คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง 
ฎีกาที่  4951/33  โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าและค่าเสียหายจากจำเลย โดยค่าเช่าเดือนละ 1,200 บาท จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์  จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินของราชพัสดุ    แม้จำเลยจะเรียกกรมธนารักษ์เข้ามาเป็นคู่ความในคดี ก็มิใช่กรณีจำเลยต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์เมื่อ จึงต้องฟังว่าค่าเช่า 1,200 บาทตามฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
- ถ้าเป็นการขับไล่ต่างรายกันแม้จะฟ้องรวมกันมาก็ต้องแยกคิดทุนทรัพย์มิใช่นำเอาค่าเช่าทุกรายมารวมกัน
คำสั่งคำร้องที่  151/20   ในกรณีรวมพิจารณาหลายสำนวนเข้าด้วยกันการพิจารณาสิทธิอุทธรณ์ฎีกาของคู่ความจะต้องแยกพิจารณาเป็นรายสำนวนไป
ฎีกาที่  2676/28   จำเลยเช่าตึกแถวเพียงเดือนละ 100 บาท แต่จ่ายเงินล่วงหน้าให้ไปอีก  55,000  บาท จึงเป็นการจ่ายเงินกินเปล่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่า

ในตอนที่ ๒ จะได้กล่าวถึง  คดีมีทุนทรัพย์ และคดีไม่มีทุนทรัพย์ต่อไป 

http://natjar2001law.blogspot.com/2012/03/blog-post.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น