ฟ้องซ้ำ
มาตรา 148
คดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก
ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันเว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้
(1) เมื่อเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล
(2) เมื่อคำพิพากษา
หรือคำสั่งได้กำหนดวิธีการชั่วคราวให้อยู่ภายในบังคับที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกเสียได้ตามพฤติการณ์
(3) เมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้ยกคำฟ้องเสียโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ ในศาลเดียวกันหรือในศาลอื่น
ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ
หลักเกณฑ์สำคัญ
มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
คู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นรายเดียวกัน
ประเด็นที่วินิจฉัยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน
อธิบาย
1. มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
การที่จะถือว่ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีเดิมถึงที่สุดเมื่อใดนั้นต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ตาม 147
ถ้าคดีเดิมยังไม่ถึงที่สุดยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาไม่ว่าชั้นใดถึงจะเอามาฟ้องใหม่ก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
แต่อาจเป็นฟ้องซ้อนหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำได้
ฎีกาที่ 2281/15 (ปชญ.)
คดีเดิมจำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ให้รื้อเรือนออกไปจากที่พิพาท
โจทก์ต่อสู้ว่าซื้อที่พิพาทมาจากตัวแทนจำเลย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการตั้งตัวแทนไม่มีหนังสือมอบอำนาจมาแสดง
รับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทมาจากจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างอุทธรณ์โจทก์กลับมาฟ้องเป็นคดีนี้อ้างว่าซื้อที่พิพาทมาจากตัวแทนจำเลย ขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่าเป็นฟ้องซ้ำคู่ความท้ากันให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าฟ้องซ้ำหรือไม่
ตาม ป.วิแพ่ง ม. 148
เมื่อปรากฎว่าขณะที่โจทก์จำเลยท้ากันศาลอุทธรณ์ยังมิได้พิพากษาคดีเดิม
คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด
ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ส่วนจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำหรือไม่
ไม่ใช่ประเด็นที่คู่ความท้ากัน ศาลไม่หยิบยกวินิจฉัย
ฎีกาที่ 5622/2540
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1375 วรรคสอง มีความหมายว่า
คดีจะขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาทต่อเมื่อมีการแย่งการครอบครองเสียก่อน
การที่จำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาท
แต่ไม่เคยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทแม้โจทก์จะทราบว่าจำเลยไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เกินหนึ่งปี คดีก็ไม่ขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาท
คดีก่อนศาลยังมิได้วินิจฉัยประเด็นสำคัญในคดีที่ว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
คดีนี้โจทก์ฟ้องเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบ
ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
2. เป็นคู่ความรายเดียวกัน ไม่ว่าจะกลับฐานะกันเป็นโจทก์ จำเลย ก็ตาม
และหมายความรวมถึงผู้สืบสิทธิของคู่ความเดิมในคดีก่อนด้วย
ฎีกาที่ 694/2540 จำเลยเป็นฝ่ายชนะในคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง
บ. กับพวกให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินพิพาท
ต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยังที่ดินพิพาท และแจ้งให้โจทก์ในฐานะบริวารของ บ. กับพวกรื้อถอนพืชผลอาสินต่าง ๆ
ออกไปจากที่ดิน
โจทก์อ้างว่าที่ดินเป็นของโจทก์และฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
ดังนี้ รูปคดีต้องตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.มาตรา 296 จัตวา (3) แต่ตามบทบัญญัติดังกล่าวนี้
หากไม่ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในเวลาแปดวันนับแต่วันปิดประกาศ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบริวารของลูกหนี้
ตามคำพิพากษาเท่านั้น
หาได้มีผลเด็ดขาดเป็นการตัดสิทธิห้ามฟ้องร้องภายหลังไม่
และเมื่อโจทก์มิได้ร้องเข้ามาในคดี โจทก์ย่อมมิได้อยู่ในฐานะคู่ความในคดีดังกล่าว
จึงไม่ผูกพันในผลแห่งคดีต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องไม่ว่าจะด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายในเรื่องฟ้องซ้ำ หรือฟ้องซ้อน
ตามฎีกานี้คดีเดิมคู่ความคือ
จำเลยกับ บ. มิใช่โจทก์ โจทก์จึงมิใช่คู่ความเดิม
โจทก์ถูกบังคับคดีโดยจำเลยอ้างว่าโจทก์เป็นบริวารของ บ. การที่โจทก์มิได้ยื่นคำร้องคัดค้านใดๆ
ก็หามีผลตัดสิทธิหรือปิดปากว่าโจทก์เป็นบริวารของ บ. ไม่)
ข้อสังเกต คำว่าผู้สืบสิทธิ เป็นผู้สืบสิทธิทั้งโดยนิติกรรมและโดยนิติเหตุ และในบางคดีบางส่วนเป็นคู่ความในคดีเดิม
บางส่วนไม่ได้เป็น
ดังนั้นจึงเป็นการฟ้องซ้ำเฉพาะคู่ความส่วนที่เป็นเท่านั้นส่วนที่ไม่เป็นไม่ซ้ำ
ฎีกาที่ 3873/2531 คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ กับ ส.
และพวกยกกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ 79 ตารางวา ให้แก่โจทก์
ศาลพิพากษาถึงแก่ที่สุดว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ ได้แสดงเจตนารับประโยชน์ตามสัญญาและครอบครองตลอดมาเกินกว่า 10
ปี แล้วโจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1382 ต่อมาโจทก์มาฟ้องจำเลยในคดีนี้อีกโดยอาศัยเหตุว่า
โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงเดียวกันกับคดีเดิมซึ่งเนื้อที่ดินทั้งหมด 114.4
ตารางวา โจทก์ฟ้องเรียกในคดีเดิม 79 ตารางวา
ยังขาดอีก 35.4 ตารางวา
จำเลยที่ 1 โอนที่ดินส่วนของโจทก์ดังกล่าว ( 35.4 ตารางวา) ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งเจ็ดดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ดังนี้
ประเด็นสำคัญในคดีก่อนกับคดีนี้ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่มีจำนวนเท่าใด คดีก่อนศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยประนีประนอมยอมความและการครอบครองปรปักษ์จนโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน
คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์จะกลับมารื้อร้องฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ในคดีนี้ในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้แม้จำเลยที่
2 ถึงที่ 7 จะมิได้เป็นคู่ความเดียวกับคดีนี้แต่ก็เป็นผู้สืบสิทธิจากจำเลยที่ 1 จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนต้องห้ามตาม
148
-
นิติบุคคลเป็นบุคคลแยกต่างหากจากบุคคลธรรมดาไม่ถือว่าเป็นคู่ความเดียวกัน
ฎีกาที่ 2524-2525/2529
บริษัท ม. เป็นบริษัทในเครือของจำเลย
แต่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกันจึงไม่ใช่บุคคลคนเดียวกัน
โจทก์เคยฟ้องบริษัท ม. เรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้ามาแล้ว
มาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยอีกได้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
- พนักงานอัยการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
และท้ายฟ้องมีการขอตามมาตรา 43 ป.วิอาญาแทนผู้เสียหายแล้วถือว่าผู้เสียหายเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวด้วย
(583/38)
3. ประเด็นที่วินิจฉัยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ในหลักเกณฑ์ข้อนี้มีสาระสำคัญอยู่สองประการ คือ
ก. คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้วินิจฉัยในเนื้อหาของเรื่องที่ฟ้องร้องกัน
ถ้าไม่ได้วินิจฉัยไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำ เช่น กรณีโจทก์ถอนฟ้อง หรือศาลสั่งจำหน่ายคดี
หรือศาลยกฟ้องเพราะฟ้องเคลือบคลุมหรือเพราะฟ้องโจทก์บกพร่อง แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องก็ต้องดูว่ายกฟ้องในเนื้อหาของฟ้องหรือไม่
ข. ประเด็นที่ศาลวินิจฉัยในตอนหลังเป็นประเด็นที่อาศัยเหตุอย่างเดียวกับประ
เด็นที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว
ฎีกาที่ 1855/2535 โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อน
ศาลชั้นต้นจึงยังมิได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี
การที่โจทก์นำมูลคดีเดียวกันมาฟ้องเป็นคดีนี้ จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันดังนี้เป็นฟ้องซ้ำอันต้อง
ห้าม ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 (ไม่เป็นฟ้องซ้ำอันเป็นการต้องห้ามตาม
148 ฟ้องใหม่ได้ในอายุความ)
ฎีกาที่ 499/2541 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีเดิมว่า สัญญาเช่ายังไม่สิ้นสุดจึงยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิตามมาตรา
55 คดีนี้สัญญาเช่าสิ้นสุดแล้วจำเลยไม่ออกไปจากตึกและที่พิพาท
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้เพราะคดีก่อนศาลยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่เป็นเนื้อหาแห่งคดี
- ในกรณีที่มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้วศาลพิพากษาตามยอม
แม้ว่าจะมิได้ทำยอมกันในทุก ๆ ประเด็นก็ตาม ในกรณีเช่นนี้ถือว่าทุก ๆ
ประเด็นที่ว่ากันมาในคดีเดิมนั้นศาลได้วินิจฉัยในเนื้อหาของฟ้องแล้วห้ามนำประเด็นนั้น
ๆ มาฟ้องอีก
- ในกรณีที่คู่ความท้ากันในศาลวินิจฉัยคดีโดยเหตุใดก็ดี
หรือกรณีโจทก์ไม่มีพยานมาสืบตามเนื้อหาที่ฟ้องก็ดี หรือศาลสั่งงดสืบพยานโจทก์เพราะความผิดหรือความบกพร่องของโจทก์ก็ดี
หรือไม่มีพยานมาศาลด้วยเหตุผลที่ไม่อาจจะอ้างได้
ถือว่าศาลได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีแล้ว (ฎีกาที่
1007/22 )
ข.
ประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยในตอนหลังเป็นประเด็นที่อาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับ
ประเด็นที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
คำว่า “โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน” หมายถึง
ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักเหล่งแห่งข้อหาอย่างเดียวกัน
แม้ว่าคำขอบังคับจะเป็นคนละอย่างกันก็ตามก็ต้องถือว่าอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ดังนั้นการที่จะพิจารณาว่าเป็นเหตุอย่างเดียวกันต้องดูที่ข้ออ้างเป็นสำคัญ (หมายถึงที่ตั้งแห่งสิทธิตามมาตรา
55 นั่นเอง) ดังนั้น
ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกันแต่เป็นเหตุที่เกิดขึ้นคนละตอนกัน
ก็ไม่ถือว่าเป็นเหตุหรือข้ออ้างอย่างเดียวกัน
ฎีกาที่ 905/2532 คดีก่อนจำเลยทั้งสามกล่าวหาโจทก์ว่าจะเลยไม่ทำบัญชีทรัพย์มรดก ไม่รายงานแสดงบัญชีการจัดการ และไม่แบ่งปันมรดกให้เสร็จภายใน 1 ปี
นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกผู้ตายให้ถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก ของผู้ตายคดีถึงที่สุดแล้ว
คดีนี้โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งสามว่าละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ของผู้จัด การมรดก
มิได้จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกในเวลาและตามแบบที่กำหนดไว้
ไม่ทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันมรดกให้เสร็จภายใน 1 ปี
นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา
จำเลยทั้งสามไม่สามารถเป็นผู้จัดการมรดก คดีก่อนกับคดีนี้จึงมีประเด็นข้อพิพาทคนละอย่างคนละเหตุกัน
ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ข้อสังเกต ตามฎีกานี้ศาลชี้ถึงประเด็นข้อพิพาทว่าเป็นคนละอย่างกัน แต่จริง ๆ
แล้วประเด็นข้อพิพาทจะอย่างเดียวกันหรือไม่ไม่สำคัญ อยู่ที่ข้ออ้างว่าเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ โจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยในคดีก่อนที่จำเลยในคดีนี้ฟ้องถอดถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัด
การมรดกเพราะเหตุอย่างเดียวกันคดีนี้
แต่เมื่อศาลตั้งให้จำเลยในคดีนี้เป็นผู้จัดการมรดกและจำเลยได้จัดการมรดกผู้ตายเป็นเหตุการณ์คนละตอนกับคดีก่อนซึ่งโจทก์ในคดีนี้จัดการ เมื่อโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจำเลยในคดีนี้ใหม่เป็นการอ้างฐานแห่งสิทธิคนละข้ออ้างกัน (คดีก่อนโจทก์ถูกหาว่าไม่กระทำตามหน้าที่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่กระทำตามหน้าที่ )
จึงมิต้องห้ามไม่ให้นำมาฟ้องใหม่ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ถ้าศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว แม้ว่าตนจะยังไม่เคยนำเอาเหตุนั้นมาฟ้องเลย
แต่ถ้าเป็นข้ออ้างอย่างเดียวกันกับคดีก่อนก็เป็นฟ้องซ้ำ
ดำ ฟ้องแดงว่าขับรถโดยประมาททำให้ดำเสียหาย แดงต่อสู้ว่าไม่ได้ประมาท
ศาลมีคำพิพากษาว่าดำเป็นฝ่ายประมาทให้ชดใช้ค่าเสียหาย ดำนำคดีมาฟ้องแดงเป็นอีกคดีว่าแดงประมาท (ในเหตุการณ์เดียวกัน) ฟ้องดำเป็นฟ้องซ้ำ
เพราะข้ออ้างว่าแดงหรือดำเป็นฝ่ายประมาทศาลได้มีคำวินิจฉัยอันถึงที่สุดไปแล้วในคดีก่อน แม้ดำยังไม่เคยฟ้องแดงเลยก็ตาม
แต่ผลของคำวินิจฉัยก็ต้องฟังว่าดำเป็นฝ่ายประมาท
ถ้าดำจะฟ้องว่าแดงประมาท
ดำต้องฟ้องแย้งมาในคดีก่อน เมื่อดำไม่ได้ฟ้องแย้ง ข้อเท็จจริงก็ต้องฟังเป็นยุติว่าดำประมาท
สิทธิที่ดำจะนำคดีมาฟ้องว่าแดงประมาทนั้นเป็นอันหมดสิ้นไป
ถ้าคดีก่อนศาลวินิจฉัยว่าดำประมาททำให้แดงเสียหายแต่แดงก็มีส่วนประมาทอยู่ด้วย จึงให้ลดค่าเสียหายลงตามส่วน
หมายความว่าศาลฟังเป็นยุติว่าแดงประมาทต่อดำด้วยและค่าเสียหายก็ได้ลดให้ลงตามส่วนที่แดงประมาทแล้ว ถ้าดำมิได้ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายไว้ในคดีเดิม
ดำก็จะนำคดีนี้มาฟ้องใหม่ไม่ได้เพราะถือว่าศาลได้มีคำวินิจฉัยอันถึงที่สุดแล้ว ถ้านำ
มาฟ้องใหม่เป็นการรื้อร้องฟ้องคดีที่วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันเป็นฟ้องซ้ำ
การวินิจฉัยประเด็นในคดีก่อนต้องเป็นประเด็นที่ศาลวินิจฉัยโดยชอบแล้ว
ถ้าเป็นการวินิจฉัยโดยไม่ชอบก็ไม่ถือเป็นการวินิจฉัยในประเด็นนั้นนำมาฟ้องใหม่ก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เช่น
ถ้าดำให้การต่อสู้เพียงว่าดำมิได้ประมาท ศาลจะมีอำนาจวินิจฉัยเพียงดำประมาทหรือไม่เท่านั้น
ถ้าศาลวินิจฉัยว่าดำไม่ประมาทเป็นคำวินิจฉัยโดยชอบแล้ว
แต่ถ้าศาลเลยไปวินิจฉัยในประเด็นอื่นด้วย
เช่น
ดำมิได้ประมาทแต่แดงประมาท
เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น เพราะดำมิได้ฟ้องแย้งมาว่าแดงประมาท
ข้อยกเว้นที่ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
1. การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล
ก. การที่ได้มีการบังคับคดีกับทรัพย์ใดของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้วไม่พอชำระหนี้
การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะขอบังคับเอากับทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้อีกนั้น
ไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
ข. เมื่อมีปัญหาโต้แย้งกันในชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาว่าบังคับอย่างนั้นเป็นการถูกต้องตามคำพิพากษาหรือคำสั่งหรือไม่ก็ต้องมีการไต่สวนและดำเนินการกันในชั้นนั้นอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำ แม้ว่าจะต้องมีการพิจารณาทั้งคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นว่าจะต้องมีการบังคับกันอย่างไร ที่โจทก์ขอให้บังคับนั้นถูกต้องหรือไม่ก็ตาม
ฎีกาที่ 508/2507 ศาลพิพากษาให้จำเลยจัดการแบ่งแยกที่ดินโอนขายให้โจทก์ตามแผนที่ท้ายฟ้อง ถ้าจำเลยไม่สามารถขายได้
ให้จำเลยคืนมัดจำพร้อมดอกเบี้ยและใช้ค่าเสียหาย แม้ในชั้นแรกศาลไม่อาจปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำบังคับวิธีแรกได้จึงบังคับตามวิธีที่
2 แต่การบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้นถึงที่สุดต่อมา
ปรากฏว่าจำเลยยังไม่สามารถแบ่งที่ดินโอนขายให้โจทก์ได้
เมื่อโจทก์ร้องขอศาลย่อมเปลี่ยนแปลงการบังคับคดีตามคำบังคับวิธีแรกกับจำเลยใหม่ได้
แม้ศาลสูงจะเคยวินิจฉัยปัญหาในเรื่องการบังคับคดีตามคำบังคับวิธีการที่ 2
มาครั้งหนึ่งแล้วก็ตามคู่ความก็ย่อยอุทธรณ์ฎีกาให้ศาลสูงวินิจฉัยถึงการบังคับคดีตามคำบังคับวิธีการแรกอีกได้ เพราะเป็นกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี
ต้องด้วยข้อยกเว้นไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องซ้ำตาม ป.วิแพ่ง 148
(1)
- ถ้าเพียงแต่เป็นกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี
แต่ไม่ใช่ปัญหาในการบังคับคดีแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับบุคคลอื่นที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีอย่างนี้ไม่อยู่ในข้อยกเว้นตามข้อนี้
ฎีกาที่ 2830/2517 คดีเดิมศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่พิพาทให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ในระ
หว่างการบังคับคดีขายทอดตลาดที่พิพาทเพื่อนำเงินมาแบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลยนั้น ศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมในอีกคดีหนึ่งว่า
ผู้ร้องทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเฉพาะส่วนของจำเลย ผู้ร้องที่
1 จึงได้ร้องขัดทรัพย์ในคดีนี้ ขอให้ปล่อยที่พิพาทแต่ศาลสั่งยกคำร้อง คดีถึงที่สุดไปแล้ว ต่อมาผู้ร้องที่ 1,
2 และ 3 ได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ในคดีนี้อีกอ้างว่า
ผู้ร้องทั้งสามกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลโดยจำเลยยกที่พิพาทส่วนของจำเลยให้ผู้ร้องทั้งสาม ผู้ร้องทั้งสามจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาททั้งแปลงขอให้ศาลปล่อยที่พิพาทอีก
ดังนี้ สำหรับผู้ร้องที่ 1 นั้น
ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า
ผู้ร้องที่ 1 ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทผู้ร้องที่ 1
จะร้องขัดทรัพย์ในคดีนี้ในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาด
โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้เป็นการต้องห้ามตาม ป.วิแพ่ง มาตรา 148 กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 148 (1) เพราะตามมาตรา 288
ให้ศาลพิจารณาชี้ขาดคดีคำร้องขัดทรัพย์เหมือนคดีธรรมดาส่วนผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 มิได้ร่วมร้องขัดทรัพย์ครั้งแรก
แต่ร้องขัดทรัพย์ในครั้งนี้โดยอ้างว่า
เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่พิพาทในส่วนของจำเลยที่ได้มาโดยคำพิพากษา
และผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์มาในระหว่างที่มีการบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทเพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา
ซึ่งวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกัน เมื่อจำเลยยอมให้ส่วนของตนในที่พิพาทตกเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องที่
2 ที่
3 จึงเป็นเพียงผู้เข้าสวมสิทธิในที่ดินส่วนของจำเลย การที่ผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 มาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทโดยอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของโจทก์หรือจำเลยย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยการดำเนินคดีร้องขัดทรัพย์ตาม ป.วิแพ่ง มาตรา 288
ศาลย่อมสั่งยกคำร้อง
ข้อสังเกต ฎีกานี้ผู้ร้องเป็นผู้สวมสิทธิของจำเลย จำเลยมีสิทธิอย่างไรผู้ร้องมีสิทธิอย่างนั้น
เมื่อศาลวินิจฉัยว่าให้ที่เป็นของโจทก์
จำเลยคนละกึ่งหนึ่งผู้ร้องจะร้องขัดทรัพย์มิได้ และข้อยกเว้นตาม 148 (1) นี้ต้องเป็นเรื่องโต้เถียงกันว่าที่ได้ปฎิบัติตามคำบังคับนั้นถูกต้องตามคำพิพากษาหรือไม่เท่านั้น
เรื่องนี้มิได้โต้เถียงในส่วนการบังคับคดีตามคำพิพากษาว่าถูก
ต้องหรือไม่เลย
2.
คำพิพากษาหรือคำสั่งกำหนดวิธีการชั่วคราวที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตามพฤติการณ์
ตามหลักคำพิพากษาแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เว้นแต่เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อยตามมาตรา 143
แต่มาตรา 148 (2) นั้น
เป็นการยกเว้นมาตรา 143 และไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซ้ำ เมื่อมีการพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ เช่นตาม ปพพ. ม.
448 ค่าเสียหายแก่อนามัย ม. 1598/39 ค่าอุปการะเลี้ยงดู
เพราะศาลไม่อาจพิจารณาได้เป็นการแน่นอนในขณะพิพากษา ป.วิแพ่ง 148(2) จึงให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงได้
3.
ศาลพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิที่จะนำมาฟ้องใหม่ภายในกำหนดอายุความ
เมื่อคำพิพากษากำหนดไว้ดังนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องฟ้องซ้ำแม้ใน 148 วรรคแรกจะเป็นฟ้องซ้ำก็ตาม
ฎีกาที่ 2522/31 โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีอากร ศาลพิพากษายกฟ้อง
โดยกำหนดไว้ในคำพิพากษาว่าไม่ตัดสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันฟังคำพิพากษา
เช่นนี้โจทก์นำคดีมาฟ้องใหม่ได้