วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ Arbitration ตอนที่ ๕



วิธีพิจารณาชั้นอนุญาโตตุลาการ
                         อำนาจของอนุญาโตตุลาการที่จะดำเนินกระบวนวิธีพิจารณาเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทของคู่กรณีจะต้องอาศัยสัญญาที่จะทำขึ้นระหว่างคู่กรณีเป็นพื้นฐานเบื้องต้น สิ่งแรกที่อนุญาโตตุลาการจะต้องทำหลังจากได้รับการแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการ คือ การกำหนดวัน เวลา  และสถานที่ในการพิจารณาข้อพิพาท ในทางปฏิบัติอนุญาโตตุลาการจะปรึกษาหารือกับบุคลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเสียก่อนเพื่อความสะดวกของทุกฝ่าย  และสิ่งสำคัญที่สุดในการกำหนดวัน เวลา และสถานที่ในการพิจารณาคดีนั้น ก็คือ จะต้องมีการบอกกล่าวแก่คู่กรณีโดยชอบ  ซึ่งอาจส่งไปยังคู่กรณีหรือทนายความโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนหรือโดยวิธีอื่นใดตามที่คู่กรณีตกลงกันไว้ และวิธีการดังกล่าวจะต้องเป็นวิธีการที่กฎหมายยอมรับด้วย หากไม่มีการส่งคำบอกกล่าวแก่คู่กรณีโดยชอบแล้วก็จะส่งผลให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการและคำชี้ขาดที่ทำขึ้นนั้นเป็นกระบวนพิจารณาและคำชี้ขาดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ได้เพราะขัดกับหลักแห่งความยุติธรรม ตามมาตรา  17  พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530
                        ในการพิจารณาคดีในชั้นอนุญาโตตุลาการ คู่กรณีอาจดำเนินการด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นผู้ดำเนินการแทนตนได้และมีสิทธิที่จะที่ปรึกษาและทนายความอยู่ด้วยตลอดเวลาที่ทำการพิจารณาคดีตามมาตรา 19 พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 ในเรื่องเกี่ยวกับรูปแบบของการดำเนินกระบวนการพิจารณาในชั้นอนุญาโตตุลาการนั้น โดยสาระแล้วส่วนใหญ่จะเป็นไปตามข้อตกลงของคู่กรณี  แต่ก็พบว่าคู่กรณีมักจะไม่ได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาเอาไว้ในสัญญาอนุญาโตตุลาการ ในจุดนี้เทื่อข้อพิพาทเกิดขึ้นอาจจะทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการพิจารณาชี้ขาดข้อพิพาท เพราะคู่กรณีอาจตกลงกันไม่ได้หรือตกลงกันได้ก็ต้องใช้ระยะเวลานานซึ่งจะก่อให้เกิดความล่าช้า ถ้าพิจารณาประเด็นนี้จะเห็นถึงประโยชน์ของการอนุญาโตตุลาการแบบสถาบัน (Institutional arbitration) ว่ามีประโยชน์มากกว่าการอนุญาโตตุลาการแบบตกลงกันเอง (ad hoc arbitration) เพราะกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการนั้นได้กำหนดรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาไว้ค่อนข้างชัดเจน และละเอียดพอสมควร จึงทำการระงับข้อพิพาทเป็นไปด้วยความสะดวดและรวดเร็วกว่า
                        หลักการพื้นฐานของการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นอนุญาโตตุลาการนั้นจะมีลักษณะที่ยืดหยุ่นกว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลมาก อนุญาโตตุลาการจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเคร่งครัดกับกฎเกณฑ์ของกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเหมือนกับศาล
                        ในเรื่องของการดำเนินกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการนั้น  พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ  พ.ศ.2530  ได้กำหนดหลักพื้นฐานของการดำเนินกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการไว้ในมาตรา  17  ว่า   ก่อนจะทำคำชี้ขาด ให้อนุญาโตตุลาการฟังคู่กรณีและมีอำนาจทำการไต่สวนตามที่เห็นสมควรในข้อพิพาทที่เสนอมานั้น
                        ในกรณีที่สัญญาอนุญาโตตุลาการหรือกฎหมายมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นให้อนุญาโตตุลาการมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ตามที่เห็นสมควรโดยคำนึงถึงหลักแห่งความยุติธรรมเป็นสำคัญ
                        ตามมาตรา 17 สรุปสาระสำคัญ
1.            อนุญาโตตุลาการต้องฟังคู่กรณีก่อนทำคำชี้ขาด
2.  อนุญาโตตุลาการมีอำนาจทำการไต่สวน
3.  อนุญาโตตุลาการมีอำนาจดำเนินการพิจารณาใด ๆ ตามที่เห็นสมควร เช่น การ
สืบพยาน การเดินเผชิญสืบ การพิจารณาข้อพิพาทโดยขาดนัด การร้องขอต่อศาลในเรื่องต่างๆ อาทิเช่น การขอให้ศาลออกหมายเรียก หรือ การคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราว เป็นต้น
                        อย่างไรก็ดีการดำเนินกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการนั้น  จะต้องไม่ขัดกับกฎหมายและข้อตกลงของคู่กรณี  พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ  พ.ศ.2530  จึงได้บัญญัติหลักการพื้นฐานไว้อย่างกว้าง ๆ เพื่อเป็นกรอบของการใช้ดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการไว้ และถ้าคู่กรณีได้ตกลงกันเกี่ยวกับวิธีพิจารณาความไว้อย่างไร  หรือตกลงให้นำกฎเกณฑ์ของสถาบันอนุญาโตตุลาการใดมาใช้บังคับแล้ว การดำเนินกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการก็ต้องเป็นไปตามนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น