วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ Arbitration ตอนที่ ๒



ติดตามอ่าน ประวัติศาสตร์ของอนุญาโตตุลาการได้ที่นี่

http://natjar2001law.blogspot.com/2012/10/blog-post_6445.html?spref=fb

อนุญาโตตุลาการในสมัยปัจจุบัน

หลักการของอนุญาโตตุลาการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
                        ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา  210 222  ไว้ว่าหลักเกณฑ์ของอนุญาโตตุลาการไว้ดังนี้
                        1.  การตั้งอนุญาโตตุลาการ  เป็นความยินยอมพร้อมใจของคู่กรณี  โดยต้องตั้งกันเสียก่อนที่ศาลจะได้มีคำพิพากษา
                        2.  คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในกรณีที่คดีขึ้นสู่ศาลแล้ว    ศาลจะพิพากษาไปตามนั้น  หากเห็นว่าคำชี้ขาดนั้นไม่ขัดต่อกฎหมาย
                        3.  คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ชี้ขาดแล้ว  คู่ความจะอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้  เว้นแต่คำชี้ขาดนั้นขัดต่อตัวบทกฎหมาย  หรือถ้าเห็นว่าคำชี้ขาดอาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ศาลอาจมีคำสั่งให้อนุญาโตตุลาการ  หรือคู่ความที่เกี่ยวข้องแก้ไขเสียก่อนในเวลาอันสมควรที่กำหนดไว้ก็ได้

ผู้ที่จะเป็นอนุญาโตตุลาการในศาล

                        กฎหมายไทยมิได้บัญญัติห้ามผู้พิพากษาเป็นอนุญาโตตุลาการ  อย่างไรก็ตามในคดีที่ผู้พิพากษานั้นนั่งพิจารณาอยู่    ท่านจะเป็นอนุญาโตตุลาการให้แก่คดีนั้นไม่ได้  (คำพิพากษาฎีกาที่  777/2476  และ  1648/2487)               ส่วนผู้พิพากษาที่ไม่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้น        ก็ไม่อาจรับเป็นอนุญาโตตุลาการได้             เนื่องจากประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการข้อ  32  ระบุไว้ชัดเจนว่าผู้พิพากษาไม่พึงรับเป็นอนุญาโตตุลาการ   หรือผู้ประนอมข้อพิพาท   เพราะเหตุว่าการทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการมิใช่ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี     อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษาได้
 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา  210 222  ไว้ว่าหลักเกณฑ์ของอนุญาโตตุลาการไว้ดังนี้
สามารถตกลงกันให้อนุญาโตตุลาการเป็นผู้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทในบางประเด็น     หรือทั้งหมดแทนการพิจารณาคดีตามปกติของศาลได้

หลักการของอนุญาโตตุลาการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

                        ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา  210 222  ไว้ว่าหลักเกณฑ์ของอนุญาโตตุลาการไว้ดังนี้
                        1.  การตั้งอนุญาโตตุลาการ  เป็นความยินยอมพร้อมใจของคู่กรณี  โดยต้องตั้งกันเสียก่อนที่ศาลจะได้มีคำพิพากษา
                        2.  คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในกรณีที่คดีขึ้นสู่ศาลแล้ว    ศาลจะพิพากษาไปตามนั้น  หากเห็นว่าคำชี้ขาดนั้นไม่ขัดต่อกฎหมาย
                        3.  คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ชี้ขาดแล้ว  คู่ความจะอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้  เว้นแต่คำชี้ขาดนั้นขัดต่อตัวบทกฎหมาย  หรือถ้าเห็นว่าคำชี้ขาดอาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ศาลอาจมีคำสั่งให้อนุญาโตตุลาการ  หรือคู่ความที่เกี่ยวข้องแก้ไขเสียก่อนในเวลาอันสมควรที่กำหนดไว้ก็ได้

ผู้ที่จะเป็นอนุญาโตตุลาการในศาล

                        กฎหมายไทยมิได้บัญญัติห้ามผู้พิพากษาเป็นอนุญาโตตุลาการ  อย่างไรก็ตามในคดีที่ผู้พิพากษานั้นนั่งพิจารณาอยู่    ท่านจะเป็นอนุญาโตตุลาการให้แก่คดีนั้นไม่ได้  (คำพิพากษาฎีกาที่  777/2476  และ  1648/2487)               ส่วนผู้พิพากษาที่ไม่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้น        ก็ไม่อาจรับเป็นอนุญาโตตุลาการได้             เนื่องจากประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการข้อ  32  ระบุไว้ชัดเจนว่าผู้พิพากษาไม่พึงรับเป็นอนุญาโตตุลาการ   หรือผู้ประนอมข้อพิพาท   เพราะเหตุว่าการทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการมิใช่ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี     อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษาได้

การอนุญาโตตุลาการนอกศาล
                        วิธีการอนุญาโตตุลาการ  เกิดจากความยินยอมพร้อมใจ  ดังนั้น  ข้อตกลงให้ใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการจึงเกิดจากสัญญา      การระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการอนุญาโตตุลาการมีลักษณะสำคัญดังนี้
                        1.  อนุญาโตตุลาการเป็นวิธีการในการระงับข้อพิพาทวิธีหนึ่ง  ส่วนข้อพิพาทอะไรบ้างที่จะระงับโดยอนุญาโตตุลาการได้นั้น  ย่อมเป็นไปตามนโยบายของกฎหมายของแต่ละประเทศว่า  กิจการใดบ้างที่มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยที่ต้องการให้ศาลเท่านั้นเป็นผู้พิจารณาและตัดสินข้อพิพาทในกิจการดังกล่าว
                        2.  บุคคลที่จะทำการระงับข้อพิพาทหรือทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการนั้น  จะต้องไม่ใช่ผู้เป็นคู่กรณีในข้อพิพาทนั้นเอง  หากแต่เป็นบุคคลภายนอกที่เป็นกลาง  จะมีจำนวนหนึ่งคนหรือหลายคนก็ได้  โดยได้รับเลือกหรือแต่งตั้งจากคู่กรณี หรือได้รับการแต่งตั้งตามวิธีการที่คู่กรณีได้ตกลงกันไว้  หรือตามกฎหมายกำหนดเพื่อทำการชี้ขาดข้อพิพาทในเรื่องใด ๆ โดยเฉพาะ
                        3.  ขอบเขตอำนาจของอนุญาโตตุลาการในการพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทนั้นเป็นไปตามข้อตกลงของคู่กรณี  ดังนั้นอนุญาโตตุลาการจะกระทำการเกินขอบเขตอำนาจที่คู่กรณีกำหนดไว้ในสัญญาไม่ได้  ส่วนคู่กรณีจะมีเสรีภาพในการทำสัญญามากน้อยเพียงใด  เป็นเรื่องที่กฎหมายอนุญาโตตุลาการและกฎหมายนิติกรรมสัญญาของแต่ละประเทศจะบัญญัติไว้                            
4.  อนุญาโตตุลาการต้องทำการชี้ขาดข้อพิพาทตามกระบวนการวิธีพิจารณาความ จะตัดสิน
ตามอำเภอใจไม่ได้   แต่อนุญาโตตุลาการก็ไม่ต้องผูกติดอยู่กับตัวบทกฎหมายวิธีพิจารณาโดยเคร่งครัดเหมือนศาล   เพราะเจตนารมณ์ของการอนุญาโตตุลาการคือความต้องการที่จะลดความยุ่งยากในเรื่องของพิธีการและขั้นตอนที่ซับซ้อนของกระบวนการพิจารณาคดีในศาล       เป็นต้นว่าต้องให้คู่กรณีทุกฝ่ายมีโอกาสเท่าเทียมกันในการต่อสู้คดี         และจะต้องตัดสินโดยอาศัยการรับฟังพยานหลักฐานที่คู่กรณีนำมาเสนอ      
                        5.  อนุญาโตตุลาการเป็นวิธีการพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาท   อันเป็นกระบวนการพิจารณาที่เอกชนทำกันเอง  ดังนั้นกฎหมายในประเทศต่าง ๆ จึงพยายามให้เสรีภาพแก่เอกชนมากที่สุดเพื่อให้ตกลงกันในเรื่องของวิธีพิจารณาความ    การแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการ    และอำนาจหน้าที่ของอนุญาโตตุลาการ       โดยรัฐจะมีบทบาทในฐานะที่เป็นผู้คอยช่วยเหลือให้การอนุญาโตตุลาการเป็นไปด้วยดี  และพยายามหลีกเลี่ยงการแทรกแซงที่ไม่จำเป็น
                        6.  คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น  โดยทั่วไปแล้วถือว่าถึงที่สุด  หมายความว่ามีผลเป็นการยุติข้อพิพาททั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย    และคู่กรณีจะต้องผูกพันตามคำชี้ขาดนั้น     เมื่อคู่กรณีฝ่ายที่แพ้คดีไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาด     อีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถอาศัยองค์กรของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรม  ให้ทำการบังคับคำชี้ขาดนั้นได้
                        7.  การพิจารณาและการทำคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ   ไม่ใช่การใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลของรัฐ โดยปกติแล้วศาลจะเข้ามาเกี่ยวข้องก็เพียงกรณีที่จำเป็นเพื่อให้คู่กรณีปฏิบัติตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ         ตรวจสอบกระบวนการพิจารณาคดีและบังคับตามคำชี้ขาดเท่านั้น  ซึ่งขอบเขตการแทรกแซงของศาลอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ                   เมื่อการชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ใช่การใช้อำนาจอธิปไตย       การนำคำชี้ขาดไปให้ศาลต่างประเทศยอมรับหรือบังคับให้จึงง่ายกว่าการนำคำพิพากษาของศาลไปให้ศาลต่างประเทศยอมรับและบังคับให้



ผู้ที่จะเป็นอนุญาโตตุลาการในศาล

                        กฎหมายไทยมิได้บัญญัติห้ามผู้พิพากษาเป็นอนุญาโตตุลาการ  อย่างไรก็ตามในคดีที่ผู้พิพากษานั้นนั่งพิจารณาอยู่    ท่านจะเป็นอนุญาโตตุลาการให้แก่คดีนั้นไม่ได้  (คำพิพากษาฎีกาที่  777/2476  และ  1648/2487)               ส่วนผู้พิพากษาที่ไม่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้น        ก็ไม่อาจรับเป็นอนุญาโตตุลาการได้             เนื่องจากประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการข้อ  32  ระบุไว้ชัดเจนว่าผู้พิพากษาไม่พึงรับเป็นอนุญาโตตุลาการ   หรือผู้ประนอมข้อพิพาท   เพราะเหตุว่าการทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการมิใช่ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี     อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษาได้

การอนุญาโตตุลาการนอกศาล
                        วิธีการอนุญาโตตุลาการ  เกิดจากความยินยอมพร้อมใจ  ดังนั้น  ข้อตกลงให้ใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการจึงเกิดจากสัญญา      การระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการอนุญาโตตุลาการมีลักษณะสำคัญดังนี้
                        1.  อนุญาโตตุลาการเป็นวิธีการในการระงับข้อพิพาทวิธีหนึ่ง  ส่วนข้อพิพาทอะไรบ้างที่จะระงับโดยอนุญาโตตุลาการได้นั้น  ย่อมเป็นไปตามนโยบายของกฎหมายของแต่ละประเทศว่า  กิจการใดบ้างที่มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยที่ต้องการให้ศาลเท่านั้นเป็นผู้พิจารณาและตัดสินข้อพิพาทในกิจการดังกล่าว
                        2.  บุคคลที่จะทำการระงับข้อพิพาทหรือทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการนั้น  จะต้องไม่ใช่ผู้เป็นคู่กรณีในข้อพิพาทนั้นเอง  หากแต่เป็นบุคคลภายนอกที่เป็นกลาง  จะมีจำนวนหนึ่งคนหรือหลายคนก็ได้  โดยได้รับเลือกหรือแต่งตั้งจากคู่กรณี หรือได้รับการแต่งตั้งตามวิธีการที่คู่กรณีได้ตกลงกันไว้  หรือตามกฎหมายกำหนดเพื่อทำการชี้ขาดข้อพิพาทในเรื่องใด ๆ โดยเฉพาะ
                        3.  ขอบเขตอำนาจของอนุญาโตตุลาการในการพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาทนั้นเป็นไปตามข้อตกลงของคู่กรณี  ดังนั้นอนุญาโตตุลาการจะกระทำการเกินขอบเขตอำนาจที่คู่กรณีกำหนดไว้ในสัญญาไม่ได้  ส่วนคู่กรณีจะมีเสรีภาพในการทำสัญญามากน้อยเพียงใด  เป็นเรื่องที่กฎหมายอนุญาโตตุลาการและกฎหมายนิติกรรมสัญญาของแต่ละประเทศจะบัญญัติไว้                            
      4.  อนุญาโตตุลาการต้องทำการชี้ขาดข้อพิพาทตามกระบวนการวิธีพิจารณาความ จะตัดสิน
ตามอำเภอใจไม่ได้   แต่อนุญาโตตุลาการก็ไม่ต้องผูกติดอยู่กับตัวบทกฎหมายวิธีพิจารณาโดยเคร่งครัดเหมือนศาล   เพราะเจตนารมณ์ของการอนุญาโตตุลาการคือความต้องการที่จะลดความยุ่งยากในเรื่องของพิธีการและขั้นตอนที่ซับซ้อนของกระบวนการพิจารณาคดีในศาล       เป็นต้นว่าต้องให้คู่กรณีทุกฝ่ายมีโอกาสเท่าเทียมกันในการต่อสู้คดี         และจะต้องตัดสินโดยอาศัยการรับฟังพยานหลักฐานที่คู่กรณีนำมาเสนอ      
                        5.  อนุญาโตตุลาการเป็นวิธีการพิจารณาและชี้ขาดข้อพิพาท   อันเป็นกระบวนการพิจารณาที่เอกชนทำกันเอง  ดังนั้นกฎหมายในประเทศต่าง ๆ จึงพยายามให้เสรีภาพแก่เอกชนมากที่สุดเพื่อให้ตกลงกันในเรื่องของวิธีพิจารณาความ    การแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการ    และอำนาจหน้าที่ของอนุญาโตตุลาการ       โดยรัฐจะมีบทบาทในฐานะที่เป็นผู้คอยช่วยเหลือให้การอนุญาโตตุลาการเป็นไปด้วยดี  และพยายามหลีกเลี่ยงการแทรกแซงที่ไม่จำเป็น
                        6.  คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น  โดยทั่วไปแล้วถือว่าถึงที่สุด  หมายความว่ามีผลเป็นการยุติข้อพิพาททั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย    และคู่กรณีจะต้องผูกพันตามคำชี้ขาดนั้น     เมื่อคู่กรณีฝ่ายที่แพ้คดีไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาด     อีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถอาศัยองค์กรของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรม  ให้ทำการบังคับคำชี้ขาดนั้นได้
                        7.  การพิจารณาและการทำคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ   ไม่ใช่การใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลของรัฐ โดยปกติแล้วศาลจะเข้ามาเกี่ยวข้องก็เพียงกรณีที่จำเป็นเพื่อให้คู่กรณีปฏิบัติตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ         ตรวจสอบกระบวนการพิจารณาคดีและบังคับตามคำชี้ขาดเท่านั้น  ซึ่งขอบเขตการแทรกแซงของศาลอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ                   เมื่อการชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ใช่การใช้อำนาจอธิปไตย       การนำคำชี้ขาดไปให้ศาลต่างประเทศยอมรับหรือบังคับให้จึงง่ายกว่าการนำคำพิพากษาของศาลไปให้ศาลต่างประเทศยอมรับและบังคับให้

ตอนหน้าพบกับ รูปแบบของอนุญาโตตุลาการ


การระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ Arbitration ตอนที่ ๑




ประวัติศาสตร์ของการอนุญาโตตุลาการ 
                        คำว่า  อนุญาโตตุลาการ  ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  หมายความว่า  ผู้ชำระตัดสินในข้อพิพาท  ซึ่งทั้งโจทก์และจำเลยยินยอมพร้อมใจกันตั้งให้ว่ากล่าว
                        อนุญาโตตุลาการ  คือ  บุคคลซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคนเดียวหรือหลายคนที่คู่กรณีพิพาทหรือบุคคลอื่นที่ได้รับมอบหมาย  ตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นคนกลางและทำหน้าที่พิจารณาชี้ขาดตัดสินข้อพิพาทของคู่กรณี 
                        สำหรับประเทศไทย  พบหลักฐานในกฎหมายตามสามดวง พระไอยการลักษณะตระลาการ  ความว่า 
อันว่ากระลาการมีลักษณ ๖ ประการดั่งนี้นักปราชญ์พึงรู้
                 อันว่ากระลาการพระมหากระษัตรตั้งแต่งนั้น ถ้าบังคับคดีผิดไซ้ควรให้กระลาการใช้ทรัพยเท่าบังคับผิดนั้น อนึ่งถ้ากระลาการบังคับชอบแล้ว แลคู่ความกล่าวโทษกระลาการไซ้ให้ไหมเปนสองเท่าทรัพยอันกระลาการบังคับนั้น เหตุใดจึ่งกล่าวดั่งนี้เหตุบุทคลผู้นั้นเลมิดกระลาการอันบังคับเปนธรรมแลเลมิดพระราชบันหยัด
                 อันว่ากระลาการคู่ความทังสองข้างยอมให้บังคับนั้น ถ้าแลบังคับบันชาผิดไซ้หาโทษมิได้ เหตุคู่ความทังสองข้างให้บังคับเอง
                 อันว่ากระลาการห้าประการ คือกระลาการเปนฝักฝ่ายคู่ความข้างหนึ่งก็ดี คือกระลาการเปนนายร้อยนายแขวงก็ดี คือกระลาการบังคับด้วยจิตรอันเสมอทังสองก็ดี คือกระลาการอันกระลาการผู้ใหญ่ ตั้งให้เปนรองอาตมานั้นก็ดี แลคือกระลาการอันพระมหากระษัตรตั้งนั้นก็ดี แลกระลาการทังห้าประการนี้ ถ้าบังคับคดีนั้นแล้วแลคู่ความมิเตมใจแลอุธรเอาเนื้อความมาให้บังคับเล่าก็ได้
                 อันว่ากระลาการแลคู่ความมันยอมกันให้บังคับนั้น ถ้าบังคับคดีนั้นคู่ความมีเตมใจ แลจะอุธรเอาเนื้อความนั้นมาให้บังคับไหม่เล่ามิได้เลย               เหตุเนื้อความนั้นคนทังสองกอปรด้วยอุส่าหยอมให้ผู้นั้นบังคับ

ในพระอัยการกระลาการแบ่งกระลาการไว้เป็น 6 ประการ  ดังนี้
                        1.  กระลาการพระมหากษัตริย์แต่งตั้ง
                        2.  กระลาการคู่ความทังสองข้างยอมให้บังคับ
                        3.  กระลาการเป็นฝักฝ่ายคู่ความข้างหนึ่ง
                        4.  กระลาการเป็นนายร้อยนายแขวง
                        5.  กระลาการบังคับด้วยจิตรอันเสมอทังสอง
                        6.  กระลาการอันกระลาการผู้ใหญ่ตั้งให้เปนรองอาตมา        
                        จะเห็นได้ว่า   หลักการของอนุญาโตตุลาการมีมาเนิ่นนานแล้ว   ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาพร้อม ๆ     กับที่มีการพูดถึงเรื่องคัมภีร์พระธรรมศาสตร์  และหลักอินทภาษ      ซึ่งกระลาการ 6 จำพวกนี้ถูกบัญญัติไว้ในอินทภาษ       แต่ต่อมาถูกตัดมายกไว้ในพระอัยการกระลาการทีหลัง      จึงไม่ปรากฎความนี้ในอินทภาษอีก     และการอนุญาโตตุลาการได้มีการใช้มาตลอดจนถึงทุกวันนี้นับเป็นเวลาหลายร้อยปี

วิชาและจรณะ ของนักกฏหมาย โดยมรรคมีองค์แปด



วิชาชีพนักกฎหมาย นับว่าเป็นวิชาชีพที่มีความสำคัญระดับแนวหน้าของสังคม เพราะนักกฎหมาย เป็นผู้ทำให้ถึงพร้อมซึ่งความถูกต้องและยุติธรรม หากนักกฎหมายขาดความรู้และจริยธรรมเสียแล้ว ความถูกต้องและเป็นธรรมย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ในสังคม
วิชาและจรณะ จึงคือหัวใจสำคัญของนักกฏหมาย
นักกฏหมายจะต้องธำรงค์ไว้ซึ่งวิชาและจรณะ จึงจะทำความถูกต้องและยุติธรรมให้เกิดแก่ปวงชนได้
นักกฏหมายที่ไร้วิชา ย่อมไม่อาจทำความถูกต้องแห่งบทบัญญัติให้ปรากฏได้
นักกฏหมายที่ไร้จรณะ ย่อมไม่อาจทำความยุติธรรมให้ปรากฏได้ 

หลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่หากนำมาปรับใช้กับจริยธรรมในวิชาชีพนักกฎหมายแล้วจะสามารถเอื้ออำนวยให้วิชาและจรณะเกิดขึ้นได้อย่างบริบูรณ์  คือ มรรคมีองค์แปด  ปรากฏหลักฐานที่ให้ความหมายตามคัมภีร์ปิฏก ดังนี้

มรรคมีองค์แปดเป็นไฉน

[๒๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน นี้คือมรรค
มีองค์ ๘ อันประเสริฐ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทัย ความรู้ใน ทุกขนิโรธ
ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา อันนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ฯ

สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน ความดำริในการออกจากกาม ความดำริใน ความไม่
พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน อันนี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ ฯ

สัมมาวาจา เป็นไฉน การงดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด
งดเว้นจากการพูดคำหยาบ งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ อันนี้เรียกว่า สัมมาวาจา ฯ

สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากการถือ เอาสิ่งของที่เขามิได้ให้ งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม อันนี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ ฯ

สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จ
การเลี้ยงชีพด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ อันนี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ ฯ

สัมมาวายามะ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เกิดฉันทะพยายาม ปรารภความ
เพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่ เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยัง ไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อความตั้งอยู่ไม่เลือนหาย เจริญยิ่ง ไพบูลย์ มีขึ้น เต็มเปี่ยม แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว อันนี้เรียกว่าสัมมาวายามะ ฯ

สัมมาสติ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียรมีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ พิจารณา เห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสียได้ อันนี้เรียกว่า สัมมาสติ ฯ

สัมมาสมาธิ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจารมีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมี อุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา
มีสติอยู่เป็นสุข เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้เรียกว่า สัมมา สมาธิ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามิมีปฏิปทาอริยสัจ ฯ

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=10&A=6555&Z=6764

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค

[๓๕] สัมมาทิฏฐิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม ความกำหนดหมายความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะที่รู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะที่รู้ละเอียด ความรู้แจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญ ปัญญาเหมือนแผ่นดิน ปัญญาเครื่องทำลายกิเลสปัญญาเครื่องนำทาง ความเห็นแจ้ง ความรู้ชัด ปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ปัญญาเหมือนศาตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคือปัญญา แสงสว่าง
คือปัญญา ปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่หลง ความวิจัยธรรมความเห็นชอบ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ มีในสมัยนั้น.

[๓๖] สัมมาสังกัปปะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?
ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ความดำริ ความที่จิตแนบอยู่ในอารมณ์ ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ ความดำริชอบ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่าสัมมาสังกัปปะ มีในสมัยนั้น.

[๓๗] สัมมาวายามะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?
การปรารถความเพียรทางใจ ความขะมักเขม้น ความบากบั่น ความตั้งหน้า ความพยายาม ความอุตสาหะ ความทนทาน ความเข้มแข็ง ความหมั่น ความก้าวไปอย่างไม่ท้อถอย ความไม่ทอดทิ้งฉันทะ ความไม่ทอดทิ้งธุระ ความประคับประคองธุระ วิริยะ วิริยินทรีย์ วิริยพละความพยายามชอบ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัมมาวายามะ มีในสมัยนั้น.

[๓๘] สัมมาสติ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?
สติ ความตามระลึก ความหวนระลึก สติ กิริยาที่ระลึก ความทรงจำ ความไม่เลื่อนลอยความไม่ลืม สติ สตินทรีย์ สติพละ ความระลึกชอบ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัมมาสติ มีในสมัยนั้น

[๓๙] สัมมาสมาธิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นคงอยู่แห่งจิต ความไม่ส่ายไปแห่งจิตความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบสมาธินทรีย์ สมาธิพละ ความตั้งใจชอบในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัมมาสมาธิ มีในสมัยนั้น.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka3/v.php?B=34&A=598&Z=847

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๔ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๑
ธรรมสังคณีปกรณ์

[๑๘๐] สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน
การงด การเว้น การเลิกละ เจตนาเครื่องเว้น จากมิจฉาอาชีวะ กิริยา
ไม่ทำ การไม่ทำ การไม่ล่วงละเมิด การไม่ล้ำเขต การกำจัด ต้นเหตุมิจฉาอาชีวะ
การเลี้ยงชีพชอบ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใด
นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka3/v.php?B=35&A=2873&Z=2986

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๒
วิภังคปกรณ์


[๒๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวสัมมาสังกัปปะเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ เป็น
ส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ

[๒๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วน
แห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน คือความดำริในเนกขัมมะ ดำริในความไม่
พยาบาท ดำริในความไม่เบียดเบียน นี้สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วน
แห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ

[๒๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ
เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตรึก ความวิตก ความดำริ ความแน่ว ความแน่ ความปักใจ วจีสังขาร ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึกมีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรคเจริญอริยมรรคอยู่นี้แล สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ

[๒๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสัมมากัมมันตะเป็น ๒ อย่าง คือ สัมมากัมมันตะที่ยังเป็น
สาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑ สัมมากัมมันตะของพระอริยะ
ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ

[๒๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะที่ยังเป็นสาสวะเป็นส่วน
แห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน คือ เจตนางดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้น
จากอทินนาทาน งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร นี้สัมมากัมมันตะที่ยังเป็นสาสวะ
เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ

[๒๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะของพระอริยะที่เป็น
อนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรคเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความงด
ความเว้น เจตนางดเว้น จากกายทุจริตทั้ง ๓ ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิต
หาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ นี้แล สัมมากัมมันตะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค ฯ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=14&A=3724&Z=3923

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

เมื่อนำมรรคมีองค์แปดมาบูรณาการเข้าด้วยวิชาและจรณะของนักกฎหมาย จึงได้ข้อควรประพฤติปฏิบัติ ดังนี้


สัมมาทิฏฐิ  คือ ความเห็นตรง เห็นถูก เห็นชอบ  เห็นว่าความจริงคือสิ่งที่ควรปฏิบัติ เห็นว่าควรเว้นจากการรับสินบน กลับแพ้ให้เป็นชนะ กลับชนะให้เป็นแพ้ ด้วยใฝ่ในอคติทั้งสี่ประการ

สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ หมายถึง การคิดพิจารณาตัวบทกฎหมายด้วยจิตดั่งตราชู เสมอกันทั้งสองฝ่าย  โดยเอาธรรมสาสตรต่างแว่น อินทรภาษต่างเนตร  นำเอาตัวบทกฏหมายมาวินิจฉัยด้วยจิตเป็นกลาง

สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ ไม่พูดจาโกหก  ไม่พูดเพ้อเจ้อไร้หลักการและหลักฐาน ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย เหน็บแนม ด่าทอ  นักกฎหมายมักได้ชื่อว่าเป็นผู้มีมุสาวาทเป็นที่อยู่ ที่อาศัย และในความเป็นจริง นักกฎหมาย      จำนวนมากก็เป็นเช่นนั้น อีกทั้งนักกฏหมายยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีปากเป็นอาวุธ  กล่าวคำเสียดสีเหน็บแนมต่อคู่ความเสมอ

สัมมากัมมันตะ  คือ การประพฤติดีงามตามที่ตนเห็นได้มีความดำริไว้

สัมมาอาชีวะ  คือ หมั่นขวนขวายหาความรู้  ติดตามกฎหมายที่ออกใหม่ ที่แก้ไข อยู่เนืองๆ การไม่รับความโดยเอาเปรียบ โดยมีจิตประทุษร้าย ไม่วินิจฉัยความโดยมีอคติทั้งสี่ประการ

สัมมาวายามะ  คือ ความอุตสาหะ ความเพียร ในการทำงานให้ปรากฏแล้วด้วยความถูกต้องและเป็นธรรม

สัมมาสติ   คือ ความละเอียดรอบคอบในการทำคดีความ ทั้งนี้ ต้องสังวรอยู่เสมอว่า ชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สินของตัวความ หรือคู่ความ คือสิ่งที่อยู่ในมือเรา

สัมมาสมาธิ  คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ มิให้อคติทั้งสี่ประการเข้าแทรกได้
เมื่อปฏิบัติมรรคมีองค์แปดได้ดังนี้แล้ว วิชาและจรณะย่อมเกิดแก่นักกฎหมายท่านนั้น ชีวิตของท่าน ก็จะจำเริญดุจพระจันทร์วันศุขปักษ์



    วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

    ความหมายของคำว่า แจกฟรี ห้ามจำหน่าย



    ในการประชาสัมพันธ์สินค้า ผู้ขายมักมีวิธีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ซื้อได้ทดลองใช้สินค้านั้นก่อน  ไม่ว่าจะโดยวิธีการแจก หรือแถมไปกับสินค้าอื่นของตน ท่านสุภาพสตรีจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้มาก เมื่อซื้อเครื่องสำอางค์ บางทีไม่อยากได้เครื่องสำอางค์แต่อยากได้ของแจก ทำให้ซื้อสินค้าเกินความจำเป็นที่ต้องการใช้ เพื่อให้ได้ของทดลองใช้  

    เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  ผู้ผลิตหรือผู้ขายจึงมักแสดงความชัดเจนของสินค้าแจกหรือทดลองใช้นี้ด้วยคำว่า "แจกฟรี ห้ามจำหน่าย"  ปัญหาในทางกฏหมายเกิดขึ้นเมื่อ  มีผู้สงสัยว่า แล้วผู้รับแจกมาจะเอาไปขายได้หรือไม่  ถ้าขายจะเป็นความผิดอย่างใดหรือไม่  

    คำว่า "แจกฟรี ห้ามจำหน่าย" เป็นคำที่บ่งชัดเจนว่าห้าม "ตัวแทนผู้จำหน่าย" นำสินค้าไปจำหน่าย  แต่ผู้รับสินค้า ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ มีสิทธิโดยชอบทุกประการที่จะนำสินค้านั้นไปจำหน่ายได้ ตามหลักแดนแห่งกรรมสิทธิ์ ตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ที่บัญญัติว่า

    มาตรา 1336 ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอย และจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิ ติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และ มีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย 

    ดังนั้น เมื่อผู้รับสินค้ามาจากการให้โดยเสน่หา ได้เป็นแล้วซึ่งผู้ทรงกรรมสิทธิ จึงมีสิทธิใช้สอย จำหน่ายทรัพย์สินนั้นได้ 

    ส่วนที่ว่า แจกฟรี ห้ามจำหน่าย นั้น  เป็นการบอกแก่ลูกค้าผู้ซื้อสินค้าจากตัวแทนผู้จำหน่ายว่า  สามารถรับสินค้าไปได้ฟรี โดยไม่ต้องชำระเงินให้แก่ตัวแทนของผู้ขาย เท่านั้นเอง

    วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

    น้ำตาเช็ดหัวเข่า กับสัญญาจะหมั้น




    สัญญาจะหมั้น

    ว่าด้วยเรื่องความรักแล้ว  ผู้หญิงทอดกายก็เพื่อให้ได้มาซึ่งใจของชาย  เวลาชายหญิงมีความรักกันผู้ชายก็มักจะสัญญิงสัญญาต่างๆ นาๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งกายของหญิง  สุดท้ายหากการคบหากันมิได้เกิดจากความรักจริงแล้ว  การทอดทิ้ง หลบหน้า ก็จะเกิดขึ้นเสมอ  ดังเรื่องราวของนางสาวสุดสวยและนายหนุ่มหล่อ

    นางสาวสุดสวยกับนายหนุ่มหล่อ รักใคร่ชอบพอกันมาสักระยะ  ความรักของทั้งคู่เต็มไปด้วยความสดใสดุจน้ำค้างแรกที่โปรยปรายในยามรุ่ง  หวานและฉ่ำเย็น  แต่ด้วยความที่นายหนุ่มหล่อยังไม่พร้อมด้วยฐานะเงินทองที่จะเลี้ยงดู สู่ขอ นางสาวสวยให้เรียบร้อยตามประเพณี นายหนุ่มหล่อจึงทำหนังสือไว้ฉบับหนึ่ง  เพื่อเป็นหลักฐานให้นางสาวสุดสวยเชื่อมั่นว่าตนจะไม่ทอดทิ้งและจะหมั้นหมายแต่งงานอยู่กินกับนางสาวสุดสวยอย่างแน่นอน  ทั้งสองทำหนังสือต่อกัน ลงลายมือชื่อต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายว่า  นายหนุ่มหล่อจะมาทำการสู่ขอหมั้นหมายกับนางสาวสวย ภายในวันที่.............ด้วยทรัพย์สินคือ..................และถ้าหากนายหนุ่มหล่อผิดสัญญา ไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้ ยินยอมให้นางสาวสุดสวยดำเนินคดีอาญา และเรียกร้องค่าเสียหายจากตนได้ ตนจะยอมชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน ๑ แสนบาท  จากนั้น นางสาวสุดสวย ก็ยอมมอบกายและใจเป็นของนายหนุ่มจนสิ้นเชิง  เวลาผ่านไป น้ำค้างรุ่งอรุ่ณได้แปลเปลี่ยนไปกลายเป็นน้ำครำ  นายหนุ่มหล่อเริ่มเบื่อหน่ายและรำคาญนางสาวสุดสวย จึงคิดตีตัวออกห่าง ไม่เอาใจใส่นางสาวสุดสวยเหมือนเดิม  จนเมื่อถึงกำหนดตามสัญญา นางสาวสุดสวยจึงทวงถามสัญญา  นายหนุ่มหล่อกลับบ่ายเบี่ยงไม่รับผิดชอบและไม่ยอมแต่งงานกับนางสาวสุดสวย  ปัญหาว่า นางสาวสุดสวยจะนำหลักฐานที่ลงลายมือชื่อกันไว้อย่างดีนั้น มาฟ้องร้องให้นายหนุ่มหล่อแต่งงานกับตน หรือเรียกค่าเสียหายใดๆ ได้หรือไม่

    คำสัญญิงสัญญาว่าจะหมั้นหมายก็ดี จะแต่งงานด้วยก็ดี ไม่ทอดทิ้งก็ดี  ไม่ว่าจะสัญญากันด้วยปากเปล่าหรือด้วยการทำสัญญาเป็นหนังสือว่า  ล้วนแล้วแต่ไม่มีผลในทางกฎหมาย บังคับไม่ได้ทั้งสิ้น  ด้วยเหตุผลตามกฎหมายดังนี้

    ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  สัญญาหมั้นจะสำเร็จบริบูรณ์ด้วยมีการให้ของหมั้น และของหมั้นจะต้องให้ในวันหมั้นเท่านั้น  จะทำหนังสือสัญญาหรือตกลงกันว่าของหมั้นจะนำมาให้ในวันอื่นนั้นไม่ได้

    มาตรา 1437 การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์ สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

    ติดตามอ่านรายละเอียดเรื่องสัญญาหมั้นได้ที่นี่

    ส่วนสัญญาที่ตกลงกันด้วยวาจาก็ดี ด้วยหนังสือก็ดีว่าจะทำการหมั้นหมายกันภายหน้านั้น ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย เพราะมิใช่สัญญาจะหมั้นนั้นไม่มีกฎหมายรับรองให้ทำได้ และสัญญาดังกล่าวไม่สามารถบังคับได้อย่างสัญญาทั่วไปเพราะเป็นสัญญาที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกัน  ไม่มีความเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ต่อกัน ไม่ใช่หนี้ที่ต้องชำระด้วยการกระทำหรืองดเว้นการกระทำ

    มาตรา 194 ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะเรียกให้ ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ อนึ่ง การชำระหนี้ด้วยงดเว้นการอันใดอันหนึ่ง ก็ย่อมมีได้

    คำว่า ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้ นั้นหมายถึงกฎหมายในเรื่องนั้นๆ เปิดโอกาสให้ก่อหนี้ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  ในเมื่อกฎหมายแพ่งว่าด้วยครอบครัวได้บัญญัติไว้ชัดแล้วว่า การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์ สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น
    และ
    มาตรา 1458 การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายหญิงยินยอมเป็นสามี ภริยากัน และต้องแสดงการยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้า นายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย 

    มาตรา 1438 การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้นข้อตกลงนั้น เป็นโมฆะ 

    สัญญาจะหมั้น โดยมีข้อตกลงว่าถ้าผิดสัญญาไม่ยอมสมรสด้วยจะดำเนินคดีตามกฎหมายก็ดี จะฟ้องเอาค่าปรับก็ดี จึงไม่มีผลบังคับใช้ เพราะเป็นสัญญาที่ขัดต่อมาตรา 1458 และ 1438 อย่างชัดเจน 
    ใครจะบังคับใครมาแต่งงานกับใคร ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อการสมรสจะต้องกระทำด้วยความยินยอมของชายและหญิงแล้ว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมสมรส จะบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งสมรสนั้น กฏหมาย ไม่เปิดช่องให้กระทำได้

    มาตรา 150 การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดย กฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ

    ด้วยเหตุตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายข้างต้น นางสาวสุดสวยจึงต้องเสียสาวให้แก่นายสุดหล่อไปโดยที่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้  นอกจาก  ผ้าเช็ดน้ำตาและความเจ็บใจ เท่านั้นเอง 





    วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

    การใช้คำนำหน้านามของภิกษุ สามเณร






    คำนำหน้านามนั้นสำคัญไฉน?

    จริงอยู่.. คำนำหน้านามเป็นเพียงสมมุติบัญญัติในทางธรรม  ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นด้วยความเป็นเราเป็นของเราได้  แต่ในทางสังคมมนุษย์แล้วคำนำหน้านามย่อมมีความสำคัญด้วยเป็นการบ่งบอกสถานะของคนในสังคม  ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการอยู่ร่วมกันในสังคม  ต่างกับสัตว์ที่แม้อยู่รวมกันก็ไม่ต้องมีคำนำหน้านามแสดงสถานะ เพราะจ่าฝูงย่อมแสดงสถานะด้วยสภาวะสัจจะคือสภาวะอำนาจตามสัญชาตญาณ 

    ในอดีต  คำนำนามหน้า  ถูกเรียกขานเพื่อแสดงศักดินาของคน เช่น การใช้คำนำหน้านามของชนชั้นไพร่ว่า “อำแดง” ในกรณีเป็นหญิง  “นาย” ในกรณีเป็นชาย และ “อี”  “ไอ้”  ในกรณีเป็นทาสหญิงและทาสชาย

    ในส่วนของพระภิกษุ  สังคมไทยยกย่องไว้ในที่สูงกว่าศักดินาฆารวาส  พระภิกษุ สามเณร ในพระพุทธศาสนาจึงต้องมีคำนำหน้านามที่แยกจากคนทั่วไป คือ มีคำนำหน้านามอันสูงส่งว่า “พระ”  อะไรก็ตามที่คนไทยยกเป็นของสูงจะเรียกขานด้วยคำนำหน้านามว่า “พระ” เช่น พระเจ้าอยู่หัว ฯลฯ  พระอัยการ คือคำเรียกขานกฎหมายซึ่งยกไว้เป็นของสูง    พระบาลี  คือคำเรียกขานภาษาบาลีซึ่งถือเป็นภาษาสูง  จึงมีกฎหมายยกเว้นการทำบัตรประชาชนของพระ และให้พระต้องใช้คำนำหน้านามว่า  “พระ”  หรือ “พระมหา” กรณีสอบได้เป็นเปรียญธรรมตั้งแต่ประโยคสามขึ้นไป

    การพูดหรือสนทนากับพระ  ญาติโยมมักให้เกรียติพระเสมอ  แม้เป็นกษัตริย์เมื่อจักสนทนากับพระ ก็จะต้องกราบไหว้พระ  สนทนาด้วยความนอบน้อม  เป็นครูบาอาจารย์จะสอนหนังสือพระ ก็ต้องถวายความรู้ด้วยความนอบน้อม  ก่อนสอนก็กราบไหว้  สอนเสร็จก็กราบไหว้  ผิดกับการสอนหนังสือแก่ฆารวาสทั่วไปที่ศิษย์ต้องกราบไหว้ขอความรู้จากอาจารย์  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  การแสดงสมณเพศจึงเป็นสิ่งสำคัญ  การที่ภิกษุ สามเณร ไม่แสดงสมณเพศส่งผลกระทบถึงสังคมหลายประการ  ปัจจุบันพบว่า พระภิกษุ สามเณรที่ใช้การสื่อสารระบบออนไลน์ทุกรูปแบบเช่น Facebook  ไม่เปิดเผย ไม่แสดงสมณเพศ  ทำให้เกิดปัญหาในการสนทนากับฆารวาสที่มิทราบว่าคู่สนทนาเป็นพระคุณเจ้า สีกาอาจจะสนทนาหยอกล้อด้วยคำมิควร และพระภิกษุ สามเณร  ที่มีจิตไม่บริสุทธิ์ ไม่ซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย ไม่รักษาเสขิยวัตร ข้อปฏิบัติอันงดงาม อาศัยการซ่อนตัวในระบบออนไลน์ปฏิบัติหรือสนทนาในสิ่งที่มิควรปฏิบัติหรือสนทนาเป็นอันมาก 
    ในปี พ.ศ.๒๔๗๙  พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และมติของ มหาเถรสมาคม จึงมีคำสั่งให้ภิกษุเซนต์นามที่แน่นอน  ซึ่งรวมไปถึงการแสดงนามที่แน่นอนในลักษณะการ Analogy กฎหมายด้วย  หากภิกษุแสดงนามไม่แน่นอน  คือไม่แสดงนามตามกฎหมายว่า “พระ” หรือ “พระมหา” มีโทษถึงจับสึก 

    มติมหาเถรสมาคม เรื่องการใช้คำนำหน้านามของภิกษุ สามเณร

    มติมหาเถรสมาคม เรื่องการใช้คำนำหน้านามพระมหา

    ดังนั้น ภิกษุ สามเณร ในพระพุทธศาสนา จึงควรแสดงนาม และแสดงความเป็นสมณเพศให้ถูกต้อง  พระคุณเจ้ามีสิทธิที่จะใช้นามหรือแสดงนาม  แต่พระคุณเจ้าจะใช้สิทธิให้ขัดต่อบทบัญญัติของกฏหมายไม่ได้   พระคุณเจ้ามีเสรีภาพที่จะแสดงนาม  แต่พระคุณเจ้าจะใช้เสรีภาพขัดต่อสิทธิของผู้อื่น คือสิทธิของพุทธบริษัทที่มีสิทธิรู้ เห็นและตรวจสอบวินัยของพระคุณเจ้าไม่ได้ 





    วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

    เทวดึงษกรรมกร การลงโทษเลียนแบบนรกภูมิ




    การลงโทษแบบเทวดึงษกรรมกร เลียนแบบนรก ใช้ในกรณีเป็นมหันตโทษ 
    คำว่า เทวดึงษกรรมกร น่าจะเพี้ยนมาจาก ทวตฺติํสกมฺมกร  เป็น ภาษาบาลี  เป็นปกติสังขยา แปลว่า สามสิบสอง  การลงโทษสามสิบสองวิธี โดยครุโทษยี่สิบเอ็ดวิธีนี้ 

    การลงโทษในลักษณะเทวดึงษกรรมกรนี้ เป็นการลงโทษด้วยวิธีการเลียนแบบการลงโทษชดใช้กรรมของสัตว์นรกในนรกภูมิ และวิธีการลงโทษอันโหดร้าย การประหารชีวิตด้วยการตัดหัวนี้เอง ทำให้ประเทศไทยเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ไม่ได้รับการยอมรับจากนาๆ อารยประเทศ โดยถูกมองว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน

    ติดตามอ่านเรื่องราวของการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตได้ที่นี่

    http://natjar2001law.blogspot.com/2010/11/2.html

    ในปัจจุบัน การลงโทษได้มีการพัฒนาลดความทารุณโหดร้ายลงมากแล้ว ด้วยการประหารชีวิตที่พัฒนาจากการตัดคอ เป็นการยิงเป้า และพัฒนาถึงการฉีดสารพิษให้เสียชีวิต นักโทษจะไม่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการประหารชีวิตเลย กว่าจะเป็นการลงโทษที่ปรากฏตามมาตรา ๑๘ ประมวลกฏหมายอาญาอย่างทุกวันนี้ อดีตของประเทศไทยเรามีการลงโทษที่เด็ดขาด น่ากลัว อย่างมาก

    ในกฏหมายตราสามดวง ปรากฏวิธีการลงโทษนักโทษไว้หลายรูปแบบ ซึ่งอ่านแล้วชวนให้สยองและสงสัยว่า จะเป็นการลงโทษที่ทำได้จนสำเร็จโทษทุกขั้นตอนจริงหรือ เพราะนักโทษน่าจะเสียชีวิตเสียก่อนที่การลงโทษจะบรรลุขั้นตอนเสียอีก

    การลงโทษโดยวิธีเทวดึงษกรรมกรนี้ ใช้ในการลงโทษโดยมหันตโทษ (โทษหนัก) มีวิธีการต่างๆ ดังนี้

    สถาน หนึ่ง ให้ต่อยกระบาลให้ศีรษะแยกออก แล้วเอาคีมคีบก้อนเหล็กที่เผาไฟจนแดงใส่ลงไปให้มันสมองพลุ่งฟูขึ้น

    สถาน หนึ่ง ให้ตัดเพียงหนังที่หน้าจดปากจดหูจดคอแล้วให้มุ่นกระหมวดผมเอาไม้ท่อนสอด ใช้คนโยกข้างละคน เอาหนังและผมออกแล้วจึงเอากรวดทรายหยาบขัดกระบาลศีรษะ ชำระให้ขาวสะอาดเหมือนพรรณสีสังข์(คือให้มีสีขาวเหมือนสีของหอยสังข์)

    สถาน หนึ่ง เอาขอเกี่ยวปากไว้ แล้วเอาประทีปตามไว้ในปาก หรือไม่ก็เอาสิ่งคมๆแหวะหรือผ่าปากจนถึงใบหูทั้ง2ข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าไว้

    สถานหนึ่ง ให้เอาผ้าชุบน้ำมัน พันทั้งกายแล้วเอาเพลิงจุด

    สถานหนึ่ง ให้เชือดเนื้อเป็นริ้วๆตั้งแต่ใต้คอจนถึงข้อเท้าแล้วผูกเชือกฉุดคร่าตีด่า ให้เดินเลียริ้วเนื้อหนังของตนจนกว่าจะตาย

    สถานหนึ่ง ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกข้อเข่า แล้วเอาหลักเหล็กสอดตรึงไว้กับพื้นดิน แล้วเอาเพลิงลนให้รอบจนกว่าจะตาย

    สถานหนึ่ง ให้เอาเบ็ดใหญ่ 2 คม เกี่ยวเพิกเนื้อหนังเอ็นใหญ่เอ็นน้อยให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะสิ้นมังสา

    สถาน หนึ่ง ให้เอามีดที่มีคมเชือดเนื้อให้ตกออกมาจากกายทีละตำลึงจนกว่าจะสิ้นมังสา

    สถาน หนึ่ง ให้แล่และสับฟันทั่วร่างกาย แล้วเอาแปลงหวีชุบน้ำแสบกรีดขุดลอกหนังและเนื้อกับเอ็นเล็กเอ็นน้อยออกให้ สิ้น ให้เหลือแต่กระดูก

    สถานหนึ่ง ให้เอาน้ำมันเดือดๆราด รดสาดลงมาแต่ศีรษะ จนกว่าจะตาย

    สถานหนึ่ง ให้เอาฝูงสุนัขซึ่งกักขังไว้ให้อดอยาก กัดทึ้งเนื้อหนังร่างกายกินให้เหลือแต่กระดูก

    สถานหนึ่ง ให้เอาขวานฝ่าอกทั้งที่เป็นเหมือนแหกโครงเนื้อ

    สถานหนึ่ง ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย

    สถานหนึ่ง ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอวแล้วเอาฟางปกลงคลอกด้วยเพลิง พอหนังไหม้ก็ให้เอาเหล็กไถให้เป็นริ้วเล็กริ้วใหญ่ ท่อนเล็กท่อนใหญ่

    เนื้อความตามที่ปรากฏในพระอัยการกระบดศึก

    ให้ลงโทษกรรมกร ๒๑ สถาน ๆ หนึ่งคือให้ต่อยกระบาน
    ศีศะเลิกออกเสียแล้ว เอาคิมคีบก้อนเหลกแดงใหญ่ใส่ลง ให้มันสะหมองศีศะพลุ่งฟูขึ้นดั่งม่อเคี่ยวน้ำส้มพะอูม สถานหนึ่งคือให้ตัดแต่หนังจำระเบื้องหน้า ถึงไพรปากเบื้องบนทังสองข้างเปนกำหนด ถึงหมวกหูทังสองข้างเปนกำหนด ถึงเกลียวฅอชายผมเบื้องหลังเปนกำหนดแล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทังสิ้น เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคนโยกถอนคลอนสั่น เพิกหนังทังผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์ สถานหนึ่งคือให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้แล้วตามประทับไว้ในปาก ไนยหนึ่งเอาปากสิ่วอันคมนั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหูทังสองข้าง แล้วเอาฃอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเตมปาก สถานหนึ่งคือเอาผ้าชุ่มน้ำมันพันให้ทั่วกายแล้วเอาเพลิงจุด สถานหนึ่งคือให้เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วมือสิ้นทัง ๑๐ นิ้วแล้วเอาเพลิงจุด สถานหนึ่งคือเชือดเนื้อให้เปน อย่าให้ขาดให้เนื่องด้วยหนังตั้งแต่ใต้ฅอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำให้เดิรเหยียบย่ำริ้ว แห่งตนให้ฉุดคร่าตีจำให้เดิรไปกว่าจะตาย สถานหนึ่งคือเชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเปน แต่ใต้ฅอลงมาถึงเอวแล้วเชือดแต่เอวให้เปน ลงมาถึงข้อเท้า กระทำเนื้อเบื้องบนนั้นให้เปนริ้วตกปกคลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้าคากรอง สถานหนึ่งคือเอาหว่งเหลกสวมข้อสอกทังสองข้างข้อเฃ่าทังสองข้างให้หมั้นแล้วเอาหลักเหลกสอดลงในวงเหลกแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงลนให้รอบตัวกว่าจะตายสถานหนึ่งคือเอาเบดใหญ่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วกาย เพิกหนังเนื้อแลเอน ให้หลุดขาดออกมากว่าจะตาย สถานหนึ่งคือให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกมาจากกาย แต่ทิละตำลึงกว่าจะสิ้นมังสะ สถานหนึ่งคือให้แล่สับฟันทั่วกายแล้วเอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูดขุดเซาะหนังแลเนื้อแลเอน ให้ลอกออกมาให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก สถานหนึ่งคือให้นอนลงโดยข้าง ๆ หนึ่งแล้ว ให้เอาหลาวเหลกตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดิน แล้วจับเท้าทังสองหันเวียนไปดังบุทคลทำบังเวียน สถานหนึ่งคือทำมิให้เนื้อพังหนังขาด เอาลูกศีลาบดทุบกระดูกให้แหลกย่อยแล้วรวบผมเข้าทังสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเปนกองเปนลอมแล้วพับห่อเนื้อหนังกับทังกระดูกนั้นทอดวางไว้ ทำดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งวางไว้เชดเท้า สถานหนึ่งคือเคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วรดสาดลงมาแต่ศีศะกว่าจะตาย สถานหนึ่งคือให้กักขังสูนักขร้ายทังหลายไว้ ให้อดอาหารหลายวันให้เตมหยาก แล้วปล่อยออกให้กัดทิ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า สถานหนึ่งคือให้เอาขวานผ่าอกทังเปนแหกออกดั่งโครงเนื้อ สถานหนึ่งคือให้แทงด้วยหอกทีละน้อย ๆ กว่าจะตาย สถานหนึ่งคือให้ขุดหลุมฝังเพียงเอวแล้วเอาฟางปกลงคลอกด้วยเพลิงภอหนังไหม แล้วไถด้วยไถเหลกให้เปนท่อน เปนริ้ว สถานหนึ่งคือให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมันเหมือนทอดขนมให้กินเนื้อตนเองสถานหนึ่งคือให้ตีด้วยไม้ตะบอง เปนต้น สถานหนึ่งคือให้ทวนด้วยไม้หวายทังหนาม แลโทษทังนี้ควรด้วยสถานใดให้เอาแต่สถานหนึ่ง

    การลงโทษด้วยวิธีการทรมานร่างกายของนักโทษจนกว่าจะตายนี้ ปรากฏที่มาว่า นำมาจากไตรภูมิพระร่วง ในส่วนของนรกภูมิ ซึ่งเนื้อหาในส่วนนี้ แต่งมาจากพระไตรปิฏก

    ฯลฯ นายนิริยบาลทั้งหลาย ให้สัตว์นรกกินก้อนคูถที่ร้อนจัด
    และก้อนเหล็กแดงอันลุกโพลงให้ถือผานทั้งยาวทั้งร้อนสิ้นกาลนาน งัดปากให้อ้าแล้วเอาเชือกผูกไว้ ยัดก้อนเหล็กแดงเข้าไปในปาก ฝูงสุนัขแดง ฝูงสุนัขด่าง ฝูงแร้ง ฝูงกา และฝูงนกตระกรุม ล้วนมีปากเป็นเหล็ก มากลุ้มรุมจิกกัดลิ้นให้ขาดแล้วกินลิ้นอันมีเลือดไหล เหมือนกินของอันเป็นเดนเต็มไปด้วยเลือดฉะนั้น นายนิริยบาลเที่ยวเดินทุบตีสัตว์นรกผู้ฆ่าบิดานั้น ซึ่งมีร่างกายอันแตกไปทั่ว เหมือนผลตาลที่ถูกไฟไหม้ จริงอยู่ ความยินดีของนายนิริยบาลเหล่านั้น เป็นการเล่นสนุก แต่สัตว์นรกต้องได้รับทุกข์ คนผู้ฆ่าบิดาเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้ ต้องอยู่ในนรกเช่นนั้น ก็บุตรฆ่ามารดา จากโลกนี้แล้วต้องไปสู่ที่อยู่แห่งพระยายมย่อมเข้าถึงความทุกข์อย่างยิ่งด้วยผลแห่งกรรมของตน พวกนายนิริยบาลที่ร้ายกาจย่อมบีบคั้นสัตว์ผู้ฆ่ามารดา ด้วยผาลเหล็กแดงบ่อยๆ ให้สัตว์
    นรกดื่มกินโลหิตที่เกิดแต่ตน อันไหลออกจากกายของตน ร้อนดังหนึ่งทองแดงที่ละลายคว้างบนแผ่นดิน

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๐
    ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=28&A=595&Z=732


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
    เทวทูตสูตร

    พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูกรพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นราชาทั้งหลาย
    ในหมู่มนุษย์จับโจรผู้ประพฤติผิดมาแล้ว สั่งลงกรรมกรณ์ต่างชนิดบ้างหรือ คือ ฯ
                 (๑) โบยด้วยแส้บ้าง
                 (๒) โบยด้วยหวายบ้าง
                 (๓) ตีด้วยตะบองสั้นบ้าง
                 (๔) ตัดมือบ้าง
                 (๕) ตัดเท้าบ้าง
                 (๖) ตัดทั้งมือทั้งเท้าบ้าง
                 (๗) ตัดหูบ้าง
                 (๘) ตัดจมูกบ้าง
                 (๙) ตัดทั้งหูทั้งจมูกบ้าง
                 (๑๐) ลงกรรมกรณ์วิธี หม้อเคี่ยวน้ำส้ม บ้าง
                 (๑๑) ลงกรรมกรณ์วิธี ขอดสังข์ บ้าง
                 (๑๒) ลงกรรมกรณ์วิธี ปากราหู บ้าง
                 (๑๓) ลงกรรมกรณ์วิธี มาลัยไฟ บ้าง
                 (๑๔) ลงกรรมกรณ์วิธี คบมือ บ้าง
                 (๑๕) ลงกรรมกรณ์วิธี ริ้วส่าย บ้าง
                 (๑๖) ลงกรรมกรณ์วิธี นุ่งเปลือกไม้ บ้าง
                 (๑๗) ลงกรรมกรณ์วิธี ยืนกวาง บ้าง
                 (๑๘) ลงกรรมกรณ์วิธี เกี่ยวเหยื่อเบ็ด บ้าง
                 (๑๙) ลงกรรมกรณ์วิธี เหรียญกษาปณ์ บ้าง
                 (๒๐) ลงกรรมกรณ์วิธี แปรงแสบ บ้าง
                 (๒๑) ลงกรรมกรณ์วิธี กางเวียน บ้าง
                 (๒๒) ลงกรรมกรณ์วิธี ตั่งฟาง บ้าง
                 (๒๓) ราดด้วยน้ำมันเดือดๆ บ้าง
                 (๒๔) ให้สุนัขทึ้งบ้าง
                 (๒๕) ให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็นๆ บ้าง
                 (๒๖) ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง ฯ
                 สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า ฯ
    
    
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=14&A=6750&Z=7030 

    หมายเหตุ ในพระสูตร มิได้กล่าวถึงที่มาที่ไปว่า เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงเรื่องนี้ จึงต้องดูในอรรถกถา ซึ่งจะเล่าเนื้อหาต้นสายปลายเหตุที่ทรงแสดง ก็ด้วยทรงพระปรารภปิตุฆาตกรรมของพระเจ้าอชาตศัตรู

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28&i=90