วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คำสาปแช่งพยานเท็จ พระอัยการลักษณะพยาน



"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อบุคคลยังไม่ละอายธรรมข้อหนึ่งคือ

การพูดปดทั้งๆที่รู้

เราย่อมไม่กล่าวว่า มีบาปกรรมอะไรบ้างที่ผู้นั้นจะทำไม่ได้"

กฎหมายกับศิลธรรม ศาสนา ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกจากกันได้ เพราะกฎหมายมีบาทฐานมาจากศาสนานั่นเอง พระบรมศาสดาตรัสว่า บุคคลผู้โกหกทั้งๆ ที่รู้ได้ ย่อมทำบาปสิ่งไรไม่ได้เลย และนอกจากนั้น การโกหก พูดปดยังเป็นการขวางกั้นพระนิพพานด้วยมิใช่ธรรมอันสมควรแก่พระอริยะเจ้าพระอัยการลักษณะพยานหลักฐาน ตามปรากฎในกฎหมายตราสามดวง ได้มีคำสาปแช่งบุคคลซึ่งกล่าวโดยเท็จในฐานะพยาน มิใ่ช่สักขี (ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้ได้ยินมาด้วยตนเอง) ไว้อย่างเผ็ดร้อนรุนแรง ต้องเสวยเวทนาในนรกถึงสองพุทธธันดรกัลป

คำคนผู้จะเปนสักขิพญาณแก่กัน ถ้าเหนให้ว่าเหนได้ยินให้ว่าได้ยินรู้ให้ว่ารู้ ถ้าหมีได้เหนว่าได้เหนหมีได้ยินว่าได้ยินหมีรู้ว่ารู้ แผนพระธรณีอันหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชนอย่าได้ทรงซึ่งคนอันหาความสัจหมีได้ไว้เลย ให้เปนพิกลบ้าไบ้วิบัติต่าง ๆ ถ้าจะไปบกเข้าป่าให้เสือกินแลต้องอะสุนีบาตสายฟ้าฟาด แลบังเกิดอุบัติโลหิตตกจากปากจะหมูกถึงซึ่งชีวิตรพินาศอย่าให้ทันสั่งบุตรภรรยา แลคำสาบาลทังนี้จงให้ได้แก่คนอันหาความสัจมิได้

ประการหนึ่งให้ท่านตัดศีศะคนซึ่งเปนพญาณหาความสัจหมีได้ให้มากกว่าก้อนส้าวคนทังหลายในมนุษโลกยนี้ อนึ่งให้ท่านตัดตีนสินมือ เสียให้มากกว่าเส้นหญ้า อนึ่งท่านให้ตัดมือเท้าเสียให้มากกว่าเส้นหญ้า

อนึ่งให้ท่านเชีอดเนื้อคนอันหาความสัจมิได้ให้มากกว่า แผ่นดินอันหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน

อนึ่งให้ท่านควักตาคนอันหาความสัจหมีได้ให้มากกว่าดาวในพื้นอากาศ

แลคนอันหาความสัจหมีได้นั้น ครั้นจุติจากมนุษแล้ว ให้ไปบังเกิดเปนเปรตในเชิงเขาคิชกูฎมีตัวอันสูงได้สามคาพยุตมีปากเท่ารูเขมเอาแลบตนแกะซึ่งโลหิตในกายกินเปนภักษาหารสิ้นพุทธันดรกัลปหนึ่ง

ครั้นจุติจากเปรดแล้วให้ไปตกในมหานรกทนทุกขเวทนาแสนสาหัศสิ้นพุทธันดรกัลปหนึ่ง ซึ่งหมีรู้ว่ารู้นั้นนายนิริยบาลเอากายขึ้นวางเหนือแผ่นเหลกแดง แล้วเอาเหลกแดงตรึงศีศะตรึงเท้าไว้แล้วเอาขวานผ่าอกตัดตีนสีนมือเสีย ซึ่งหมีได้ยินว่าได้ยินนั้นนายนิริยบาลเอากายขึ้นวางเหนือแผ่นเหลกแดงแล้วเอาหอกอันใหญ่แทงหูขวาตะหลอดหูซ้ายแทงหูซ้ายตะหลอดหูขวา ซึ่งหมีได้เหนว่าได้เหนนั้นนายนิรยบาลเอากายขึ้นวางเหนือแผ่นเหลกแดงเอาฃอเกี่ยวตา คร่าออกมา แลคนผู้หาความสัจหมีได้นั้นกลัวไภยแล่นลงไปยังขุมคูธนรกอันเตมไปด้วยลามกอาจมเดือดพล่านว่ายอยู่ มีตัวอันลลายไปแล้วเกิดขึ้นมาเสวยทุกขเวทนาอีกเล่า ครั้นจุติจากนรกแล้วจักเกิดเปนสุนักขเรื้อนเปนสัตวเดือนกิ้งกื ถ้าเกิดเปนมนุษจะเปนง่อยเปลี้ยแต่ในครรภ์แลตานั้นบอดหูนั้นหนวก เปนคนเตี้ยค่อมบ้าใบ้แต่กำเนิดเกิดวิบัติสรรพต่าง ๆ แลไภยอันตรายซึ่งกล่าวมาทังนี้ จงได้แก่พญาณอันหาความสัจมิได้นั้น

สำหรับพยานผู้กล่าวคำสัจ ก็ได้สรรเสริญอวยพรไว้โดยกล่าวว่า ถ้าเป็นบุรุษจะได้เกิดเป็นมนุษย์ผู้บริสุทธิ์โดยรูปโฉม (รูปหล่อ) มีปัญญาเป็นนักปราชญ์

ถ้าเป็นสตรีจะได้บังเกิดเป็นมนุษย์มีพรรณสัณฐานอันไพบูรณ์ (สุดสวย) และเป็นผู้มีความเป็นเลิศในการศึกษาพระไตรปิฎก (สำหรับสตรีที่จะได้ทรงพระไตรปิฎกในอดีตนั้นเป็นเรื่องยากมาก จึงได้กล่าวถึงบุญที่จะได้ศึกษาพระไตรปิฎกไว้เฉพาะแต่สตรี) การได้เกิดในพระุพุทธศาสนาได้ศึกษาพระธรรมนี้เป็นเรื่องยาก จึงเป็นรางวัลอันสมควรแก่ผู้ที่บำเพ็ญสัจจะบารมีด้วยการกล่าวคำพยานจริง

ถ้าแลผู้เปนสักขิพญาณกล่าวแต่ตามสัจตามจริงไซ้ แลเกิดมาในภพใด ๆ ถ้าเปนบุรุษจะบริสุทธไปด้วยรูปโฉมพรรณสัณฐานอันประเสริฐ

บังเกิดเปนนักปราชกอปรด้วยปรีชาชาญ

ถ้าเปนสัตรีจะมีพรรณสัณฐานอันไพบูรรณ

แลผลแห่งตนอันมีความสัจนั้นไปในอะนาคตจะทรงพระไตรยปิฎกธรรม

อันเปนที่จะยกเอตะทักคะในพระพุทธสาศนา

สมเดจ์พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้าอันจะมาตรัสในภายภาคหน้า

และจะบ่ายหน้าเข้ายังพระอมัตะมหานครนฤพานนั้นแล

จากกฎหมายตราสามดวง พระไอยการลักษณะภญาณหมายเหตุ ภาษาที่ใช้เป็นภาษาไทยโบราณ มิได้เขียนผิดพลาดแต่อย่างใด



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น