วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

ห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ม.๒๒๔ ป.วิแพ่ง ตอนที่ ๓


ก่อนอ่านบทความนี้ ควรบทความนี้เสียก่อน

http://natjar2001law.blogspot.com/2012/03/blog-post.html

หลักการคิดทุนทรัพย์  มีความจำเป็นที่ต้องศึกษาให้เข้าใจ  เพราะในแต่ละคดีที่มีลักษณะการฟ้องคดี  เนื้อหาคดีที่ต่างกัน  การคิดทุนทรัพย์ย่อมต่างกัน 

                                                               

ฎีกาที่ 1069/39    โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล และให้จำเลยที่ 1 โอนขายที่พิพาทให้โจทก์ที่ 1 เนื้อที่ประมาณ 71 ตารางวา ในราคาตารางวาละ 250 บาท  รวมเป็นเงิน 17,750 บาท ตามสัญญาจะซื้อจะขาย  และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 10,000 บาท โดยเสียค่าขึ้นศาลในส่วนของที่พิพาทในราคาตารางวาละ 250 บาท  ตามสัญญาจะซื้อจะขายศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลยังไม่ครบถ้วนโดยไม่ได้คำนวณราคาที่พิพาท  จึงให้โจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลให้ครบ ต่อมาได้มีการคำนวณราคาที่พิพาทตารางวาละ 1,000 บาท รวมเป็นราคาที่พิพาท 71,000 บาท ค่าเสียหายอีก 10,000 บาท รวมเป็น 81,000 บาท ซึ่งถือเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้

ดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันฟ้องจนถึงวันยื่นฎีกา ไม่นำมารวมเป็นทุนทรัพย์
ฎีกาที่ 1926/37(ประชุมใหญ่)   การคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา จะนำดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 200,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันยื่นฎีกามารวมคำนวณด้วยไม่ได้  ฉะนั้นเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกามีจำนวนไม่เกิน  200,000 บาท  จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง

เมื่อจำเลยโต้เถียงกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทที่โจทก์ขอแบ่งว่าเป็นของจำเลย การคิดทุนทรัพย์ต้องคิดตามจำนวนที่พิพาทที่จำเลยโต้เถียงกรรมสิทธิ
ฎีกาที่  6560/38  โจทก์ทั้งสามฟ้องขอแบ่งที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกของ บจากจำเลยให้แก่โจทก์คนละ 1 ใน ส่วน  โดยตีราคาทุนทรัพย์รวมกันมาในคำฟ้องเป็นเงิน 78,000 บาท    จำเลยโต้เถียงว่าที่พิพาททั้งสามส่วนดังกล่าวเป็นของจําเลย  มิใช่ทรัพย์มรดกของ บ. จึงไม่อาจแยกคิดทุนทรัพย์แต่ละส่วนตามที่โจทก์ทั้งสามขอมาได้  อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ 78,000 บาท     ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง


ฎีกาที่  1459/39   อุทธรณ์ของจำเลยเป็นการโต้เถียงว่าที่พิพาททั้งหมดมิใช่ทรัพย์มรดกหากข้อเท็จจริงเป็นดังที่จำเลยอุทธรณ์    จำเลยย่อมได้รับผลตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งคดีจึงเป็นคดีที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ตามราคาทรัพย์พิพาทคือ 54,000 บาท โดยไม่แยกทุนทรัพย์ตามที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องเมื่อที่พิพาทมีราคาเกินกว่าห้าหมื่นบาท จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

เปรียบเทียบกับฎีกาที่  5194/37

ฎีกาที่  5194/37   โจทก์ทั้ง 5 ฟ้องขอให้ใส่ชื่อโจทก์ทั้ง 5 เป็นเจ้าของรวม เป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนใช้สิทธิของตัวเองเฉพาะตัว  แม้จะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์เฉพาะของโจทก์แต่ละคนไม่ถือรวม

ฎีกาที่  3830/37   คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามและแผนที่พิพาทไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งแปดร่วมกันทำละเมิดในที่ดินของโจทก์ทั้งสามโดยปรากฏแต่เพียงว่าจำเลยทั้งแปดเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของโจทก์คนละส่วนต่างหากจากกัน   ซึ่งโจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคนละคดีได้ และแม้โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งแปดเข้ามาเป็นคดีเดียวกันแต่การพิจารณาว่าคดีมีทุนทรัพย์เท่าใดย่อมต้องถือตามราคาที่ดินที่จำเลยแต่ละคนต่างเข้าไปยึดถือครอบครอง  มิใช่นับรวมกัน

-                   ถ้าเป็นหนี้ร่วม  ลูกหนี้หลายคนแบ่งแยกกันไม่ได้ต้องคิดทุนทรัพย์รวมกันหมด
-                   หนี้ตามสัญญาประกันผู้ต้องหาหลายฉบับให้คิดทุนทรัพย์แยกกันเป็นรายฉบับ
ฎีกาที่  2273/26   โจทก์ฟ้องกำหนดทุนทรัพย์ 100,000 บาทโดยจำเลยทำสัญญาค้ำประกันคนต่างด้าว 5 ราย แยกทำสัญญาเป็นรายฉบับรวม 5 ฉบับ สำหรับลูกประกันแต่ละรายหากผิดสัญญายอมให้ปรับรายละ 20,000บาททุนทรัพย์ในคดีจึงแยกออกตามสัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับ   แม้จะปรับรวมกันมาก็ถือว่ากำหนดค่าปรับภายในวงเงินตามสัญญาแต่ละฉบับไม่เกินฉบับละ 20,000 บาท   คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม  ป... .224
ฎีกาที่  2726/28  ในกรณีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยคนเดียวรับผิดชำระเงินกู้  รายมาในคำฟ้องเดียวกัน   โดยแยกทำสัญญากู้เป็น 2 ฉบับ   การวินิจฉัยสิทธิอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจะต้องคำนวณ โดยรวมทุนทรัพย์ตามสัญญากู้ทั้ง 2 ฉบับในคำฟ้องนั้น
ฎีกาที่  2833/31    โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเล่นแชร์กับโจทก์รวม 3 วง แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าแชร์   ทุนทรัพย์ในคดีต้องแยกตามสัญญาเล่นแชร์แต่ละวง

-                   ฟ้องเดิมกับฟ้องแย้งคิดแยกกัน
ฎีกาที่  576/40  การพิจารณาว่าคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่   ต้องพิจารณาฟ้องเดิมและฟ้องแย้งแยกจากกัน สำหรับฟ้องเดิมแม้โจทก์จะกล่าวมาในคำฟ้องว่าหากจะนำที่ดินพิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 30,000 บาท และโจทก์ใช้เป็นเกณฑ์คำนวณในการเรียกร้องค่าเสียหายตามจำนวนนั้น ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้เดือนละ 7,000 บาท ก็ตาม ยังถือไม่ได้ว่าเป็นค่าเช่าของอสังหาริมทรัพย์ในขณะยื่นคำฟ้องเพราะเป็นแต่อาจให้เช่าได้ค่าเช่าจำนวนดังกล่าวเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินโจทก์ปีที่ 3 เดือนละ 2,083 บาท ที่ดินพิพาทจึงมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,083 บาท   ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ..มาตรา 224 วรรคหนึ่ง   ฉะนั้น   การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการเช่าที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับโจทก์เป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าว ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่อ้างว่าการเช่าที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาและขอให้บังคับโจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าที่ดินพิพาทนั้นเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง

-                   คดีเกี่ยวกับสิทธิในครอบครัวไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ฎีกาที่  2995/40   คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัวที่จะมีสิทธิอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.. มาตรา 224 วรรคสองนั้น หาได้มีความหมายไปถึงว่าคดีเกี่ยวกับสิทธิสภาพบุคคลและสิทธิในครอบครัวเป็นคดีที่ไม่มีทุนทรัพย์เสมอไปไม่ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน การที่โจทก์ฟ้องหย่าและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพนั้นเป็นการฟ้องตั้งสิทธิอันเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์หรือความเกี่ยวข้องในครอบครัวระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นสามีภริยากัน จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในครอบครัว ซึ่งมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ ตาม  ป.วิ.. มาตรา 224 วรรคสอง   และ 248 วรรคสอง    แต่การที่โจทก์เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู 180,000 บาท และเรียกค่าทดแทน 200,000 บาทเป็นการฟ้องเรียกร้องทรัพย์สินมีค่าเป็นจำนวนเงินเข้ามาด้วย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ซึ่งโจทก์จำต้องชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง  เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเฉพาะที่เกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าทดแทน แต่โจทก์ไม่ชำระจึงเป็นการทิ้งฟ้องตาม ป.วิ.. มาตรา 174 (2) เฉพาะในส่วนข้อกำหนดตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไว้เท่านั้น จะแปลไปถึงกับว่าโจทก์ได้ทิ้งฟ้องหมดทั้งคดีเสียทีเดียวไม่ได้ เพราะคำฟ้องเฉพาะเรื่องขอหย่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ไม่จำต้องชำระค่าขึ้นศาล ส่วนคำฟ้องเกี่ยวกับคำขอค่าเลี้ยงชีพเป็นคำฟ้องเรียกค่าเสียหายในอนาคตซึ่งโจทก์ได้ชำระค่าขึ้นศาลในอนาคตไว้ถูกต้องแล้ว เมื่อฟ้องของโจทก์ในสองส่วนนี้เป็นฟ้องที่สมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมายอยู่และแยกเป็นคนละส่วนจากคำฟ้องที่โจทก์ทิ้งฟ้องได้เช่นนี้จึงไม่มีเหตุที่จะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องในสองส่วนนี้ด้วย 
ฎีกาที่  5183/30    คดีฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรสเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว   ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
ฎีกาที่  6937/39    คำฟ้องโจทก์เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตาม ป... มาตรา 224 วรรคสอง แต่ส่วนคำฟ้องแย้งจำเลยอ้างว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการ เช่าและขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนการเช่า มิใช่การเรียกร้องเอาทรัพย์สินเป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้    ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง  ซึ่งต้องแยกการพิจารณาการต้องห้ามอุทธรณ์  จำเลยสามารถอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงว่าสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยมีข้อตกลงให้สิ่งปลูกสร้างตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เมื่อครบกำหนดเวลาเช่าแล้วเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าได้ แต่อุทธรณ์จำเลยที่ว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดสัญญาเช่าไม่ได้ละเมิดต่อโจทก์  โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายนั้น เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องโจทก์โดยเฉพาะไม่เกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลย  จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.. มาตรา 224 วรรคสอง
ฎีกาที่  7082/39   โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย  58,125.25 บาท  ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยขับรถประมาทเลินเล่อทั้งสองฝ่าย แต่ฝ่ายโจทก์ประมาทเลินเล่อมากกว่า จึงให้โจทก์รับผิดค่าเสียหาย 2 ใน 3 ส่วนให้จำเลยรับผิดค่าเสียหาย 1 ใน 3 ส่วน โจทก์ต้องรับผิดเกินกว่าค่าเสียหายของตนอยู่แล้ว ค่าเสียหายของโจทก์จึงเป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ขอให้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหาย 54,070 บาท แก่โจทก์ จึงเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ที่ต้องพิจารณาว่าจำเลยทั้งสองต้องชำระเงิน 54,070 บาทแก่โจทก์หรือไม่    จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยประมาทเลินเล่อเท่ากับก็มีอำนาจกำหนดให้ค่าเสียหายของทั้งสองฝ่ายเป็นพับและยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ได้แม้ฟ้องแย้งจะต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เนื่องจากทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาทก็ตาม เพราะข้อเท็จจริงตามฟ้องเดิมและฟ้องแย้งเป็นเรื่องเดียวกัน

-                   คดีที่มีการขอพิจารณาคดีใหม่  ถ้าศาลมีคำสั่งในการขอฯ ให้ดูทุนทรัพย์ในคดีเดิมว่าอุทธรณ์คำสั่งได้
หรือไม่
ฎีกาที่  5801/39   อุทธรณ์ชั้นบังคับคดีในคดีซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.. มาตรา 224 วรรคสอง  ย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน

หมายเหตุ  ในกรณีคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา  ถ้าส่วนอาญาไม่ต้องห้ามส่วนแพ่งต้องถือตามส่วนอาญา อุทธรณ์ข้อเท็จจริงได้แม้ทุนทรัพย์ไม่ถึงก็ตาม

จบสำหรับมาตรา ๒๒๔ แต่เพียงเท่านี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น