เขียนผลงานวิชาการอย่างไรไม่ละเมิดลิขสิทธิ์
ใครมีสิทธิในงานลิขสิทธิ์
ลิขสิทธิ์ ตาม พ.ร.บ.
ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
มาตรา
4 ในพระราชบัญญัตินี้
"ผู้สร้างสรรค์" หมายความว่า ผู้ทำหรือผู้ก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้
ดังนั้น
กรณีภาพถ่าย ผู้มีสิทธิในภาพถ่ายคือผู้ถ่ายภาพและหากเป็นการถ่ายภาพบุคคล
บุคคลตามภาพนั้นเป็นผู้สร้างสรรค์งานอันมีลิขสิทธิ์นั่นเอง
มาตรา
๒๗
การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้
โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา ๑๕ (๕) ให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
ถ้าได้กระทำดังต่อไปนี้
(๑) ทำซ้ำหรือดัดแปลง
(๒)เผยแพร่ต่อสาธารณชน
กฎหมายลิขสิทธิ์กำหนดงานที่ถือว่าไม่มีลิขสิทธิ์ไว้ด้วย
หมายความว่า
ทุกคนสามารถนำชิ้นงานทั้งหมดหรือบางส่วนไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือส่วนรวมได้โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือจ่ายค่าตอบแทนก่อน
อันได้แก่
1. ข่าวประจำวัน
และข้อเท็จจริงต่างๆที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสารอันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี
แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
2. รัฐธรรมนูญ และ กฎหมาย
3. ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง
และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือ หน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
4. คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย
และรายงานของทางราชการ
5. คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่างๆตาม ข้อ 1 ถึง 4
ที่กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่นจัดทำขึ้น
สำหรับข้อยกเว้นที่ไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในแต่ละกรณีที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเขียนผลงานวิชาการ
หรือรูปแบบอื่น ๆ ได้แก่
(1) วิจัยหรือศึกษางานนั้น อันมิใช่การกระทำเพื่อหากำไร
(2) ใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง
หรือเพื่อประโยชน์ของตนเองและบุคคลอื่นในครอบครัวหรือญาติสนิท
(3) ติชม วิจารณ์
หรือแนะนำผลงานโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานนั้น
(4) เสนอรายงานข่าวทางสื่อสารมวลชนโดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานนั้น
(5) ทำซ้ำ ดัดแปลง นำออกแสดง หรือทำให้ปรากฏ
เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาของศาลหรือเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมาย
หรือในการรายงานผลการพิจารณาดังกล่าว
(6) ทำซ้ำ ดัดแปลง นำออกแสดง หรือทำให้ปรากฏโดยผู้สอน
เพื่อประโยชน์ในการสอนของตน อันมิใช่การกระทำเพื่อหากำไร
(7) ทำซ้ำ ดัดแปลงบางส่วนของงาน
หรือตัดทอนหรือทำบทสรุปโดยผู้สอนหรือสถาบันศึกษา
เพื่อแจกจ่ายหรือจำหน่ายแก่ผู้เรียนในชั้นเรียนหรือในสถาบันศึกษา ทั้งนี้
ต้องไม่เป็นการกระทำเพื่อหากำไร
(8) นำงานนั้นมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการถามและตอบในการสอบ
(9) การกล่าว คัด ลอก เลียน
หรืออ้างอิงงานบางตอนตามสมควรจากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้
โดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานนั้น
(10) การทำซ้ำโดยบรรณารักษ์ของห้องสมุด
ซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้ มิให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
หากการทำซ้ำนั้นมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไร ดังต่อไปนี้
·
การทำซ้ำเพื่อใช้ในห้องสมุดหรือให้แก่ห้องสมุดอื่น
·
การทำซ้ำงานบางตอนตามสมควรให้แก่บุคคลอื่นเพื่อประโยชน์ในการวิจัยหรือการศึกษา
ในการเขียนตำรับตำรา หนังสือต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการเขียนบันทึกบน BLOG นั้น เราอาจจะต้องใช้ "ภาพ" ประกอบคำอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้เนื้อความมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ ผู้เขียนดาวน์โหลดภาพจากระบบเครือข่ายสากลอินเทอร์เน็ต
หรือสแกนมาจากหนังสืออื่น มาใช้ประกอบการเขียนผลงานได้หรือไม่ ?
ประเด็นนี้ รศ.ดร.มานิตย์ จุมปา แห่งคณะนิติศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เขียนอธิบายไว้ในหนังสือ "เขียนผลงานวิชาการอย่างไรไม่ละเมิดลิขสิทธิ์" ว่า
"...
กรณีนี้ต้องพิจารณาและระมัดระวังว่า
ภาพที่ผู้เขียนจะนำมานั้นเป็นภาพที่มีลิขสิทธิ์หรือไม่ หลักการในพิจารณา คือ
หากภาพนั้น เป็นภาพที่มีการถ่ายโดยไม่ได้สร้างสรรค์ใด ๆ ภาพนั้นก็ไม่มีลิขสิทธิ์
เช่น ภาพโต๊ะ, ภาพเก้าอี้ อาคาร เป็นต้น แต่หากภาพนั้นมีการใช้ความรู้ความสามารถในการสร้างสรรค์
เช่น ผู้ถ่ายได้ใช้ความพยายามอดทนเฝ้ารอเพื่อถ่ายภาพพระอาทิตย์ตก หรือมีการจัดแสง
ปรับแต่งภาพเป็นพิเศษ ภาพที่สร้างสรรค์เช่นนี้จะเป็นภาพที่มีลิขสิทธิ์
ดังนั้น
หากภาพใดมีลิขสิทธิ์ การเอาภาพเขามาประกอบการเขียนผลงาน จำต้องดำเนินการขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์เสียก่อน
ส่วนภาพนั้นไม่มีลิขสิทธิ์ ย่อมสามารถนำมาใช้ประกอบการเขียนได้
โดยไม่จำต้องขออนุญาต
นอกจากนั้น
หากภาพใดมีลิขสิทธิ์ แม้ผู้เขียนจะนำภาพนั้นจากระบบเครือข่ายสากลอินเทอร์เน็ต
หรือนำมาจากที่ใดก็ตาม แล้วนำมาตกแต่งดัดแปลงจนไม่เหมือนของเดิม ในกรณีนี้
ยังคงเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะเข้าข่ายดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ ..."
ภาพที่อยู่ในระบบเครือข่ายสากลอินเทอร์เน็ต
หรือแหล่งต่าง ๆ มีความยากลำบากที่เราจะทราบว่า ภาพใดผ่านการสร้างสรรค์มา
วิธีการที่ปลอดภัยที่สุด คือ ลงมือถ่ายภาพเองเลย ... ถ่ายเอง
ก็เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ จะตกแต่งดัดแปลงสักแค่ไหน ก็ภาพเราเอง
การถ่ายภาพเอง
ต้องระมัดระวังการถ่ายภาพโดยเจ้าของเขาไม่ยินยอมด้วย เช่น เขาติดป้าย "ห้ามถ่ายภาพ" เอาไว้ แต่เราดันไปถ่าย
แบบนี้อาจจะถูกฟ้องร้องว่าละเมิดลิขสิทธิ์เขาได้นะครับ เพราะร้านค้าบางร้าน
กว่าจะจัดมุมร้านให้ได้ดี
อาจจะต้องผ่านกระบวนการค้นคว้าวิจัยและสำรวจความต้องการมาหลายครั้ง
หากต้องการภาพนั้นจริง ๆ ควรขออนุญาตจากเจ้าของเขาก่อนครับ และเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว
ก็ควรเขียนขอบคุณไว้ใต้ภาพดังกล่าวด้วย
การนำบทความจากนิตยสารมาเป็นกรณีศึกษาและวิเคราะห์ในวิทยานิพนธ์หรืองานวิจัย
บทความในนิตยสาร
ปกติลิขสิทธิ์ย่อมเป็นของผู้เขียนบทความ
เว้นแต่จะมีข้อตกลงกันให้ลิขสิทธิ์ตกเป็นของนิตยสาร แต่อย่างไรก็ดี
เมื่อบทความนั้นมีลิขสิทธิ์
การนำบทความมาเป็นกรณีศึกษาและวิเคราะห์ข้อบกพร่องในลักษณะที่นำมาทั้งบทความนั้น แม้จะมีการอ้างอิงระบุนามปากกาและนิตยสารอย่างชัดเจน
ก็ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
ในกรณีประเด็นปัญหานี้
หากผู้เขียนประสงค์จะเขียนตำราแล้วยกบทความของผู้อื่นมาเป็นกรณีศึกษาและวิเคราะห์ข้อบกพร่อง ผู้เขียนจะต้องดำเนินการขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์เสียก่อน
โดยติดต่อไปยังสำนักพิมพ์เจ้าของนิตยสาร
โดยการทำเป็นหนังสือหรือโทรติดต่อไปเบื้องต้นว่าเราต้องทำการขอลิขสิทธิ์อย่างไรเสียก่อน
แล้วปฏิบัติตามนั้น
ข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ตมีการระบุไว้ในเว็บว่า
ดาวน์โหลดฟรี เฉพาะอ่านเท่านั้น จะนำมาเขียนลงในวิทยานิพนธ์หรืองานวิจัยไม่ได้ เว้นแต่ข้อมูลนั้นเป็นงานอันไม่มีลิขสิทธิ์
หากต้องการนำมาใช้ ต้องติดต่อขอใช้ลิขสิทธิ์ไปยังเจ้าของงานนั้นทุกครั้ง
ข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ตที่ให้ดาวน์โหลดฟรี
ที่นักวิชาการมักพบได้บ่อย ๆ ได้แก่
·
ไฟล์เอกสารภาษาไทย
หรือ ภาษาอังกฤษ นามสกุล DOC (Microsoft Word)
·
ไฟล์เอกสารภาษาไทย
หรือ ภาษาอังกฤษ นามสกุล PDF (Adobe Acrobat)
·
ไฟล์การนำเสนองาน
นามสกุล PPT (Microsoft Power Point)
·
ไฟล์โปรแกรมต่าง
ๆ เช่น นามสกุล EXE (ผ่านการ Compile จากภาษาคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ)
·
เป็นต้น
บุคคลใดได้เขียนวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอก
แล้วต่อมาประสงค์จะนำวิทยานิพนธ์นั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของตำราที่ได้เขียนขึ้น
เช่นนี้จะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ ?
ปกติโดยทั่วไป
หน้าปกของวิทยานิพนธ์มักจะมีข้อความทำนองว่า "ลิขสิทธิ์เป็นของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย..............." ซึ่งทำให้เข้าใจว่าลิขสิทธิ์ในวิทยานิพนธ์เป็นของมหาวิทยาลัยหรือสถาบันที่ให้ปริญญาในการทำวิทยานิพนธ์นั้น
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาให้ถ่อยแท้แล้วจะพบว่า
หาได้เป็นอย่างที่เข้าใจกันไม่ เพราะในการเขียนวิทยานิพนธ์นั้น
ผู้เขียนไม่ได้รับจ้างมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษานั้น ๆ ในการเขียน
ลิขสิทธิ์จึงไม่เป็นของมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษานั้น ๆ อีกทั้งข้อสำคัญคือ
การเขียนวิทยานิพนธ์เป็นการใช้ความรู้ความสามารถของผู้เขียนสร้างสรรค์ขึ้นโดยแท้
จึงถือว่า
ลิขสิทธิ์ในวิทยานิพนธ์เป็นของผู้เขียนวิทยานิพนธ์ไม่ใช่ของมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาที่ให้ปริญญาในการทำวิทยานิพนธ์นั้น
เมื่อลิขสิทธิ์ในวิทยานิพนธ์เป็นของผู้เขียนวิทยานิพนธ์
ผู้เขียนย่อมนำมาเป็นส่วนหนึ่งในตำราของตนได้ ไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
แต่อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติในสังคมไทย มักนิยมที่จะทำหนังสือขออนุญาตจากมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาที่ให้ปริญญาในการทำวิทยานิพนธ์เสียก่อน
เพื่อไม่ให้ผิดพ้องหมองใจกัน
และโดยปกติอีกเช่นกันว่าจะได้รับอนุญาตโดยไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
..."
ข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐจัดทำขึ้นในการเขียนตำราจะสามารถนำมาใช้ได้มากน้อยเพียงใด
"...ข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐจัดทำขึ้น หน่วยงานของรัฐนั้นย่อมเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ การนำข้อมูลนั้นมาใช้ประกอบการเขียน ต้องอาศัยข้อยกเว้นที่กำหนดไว้ในมาตรา
๓๒ วรรคสอง (๓) คือ นำข้อมูลนั้นในปริมาณที่ไม่มากเกินสมควรมาประกอบการเขียนตำรา
โดยมีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในข้อมูลนั้น การรับรู้ในที่นี้คือ การอ้างอิง
ข้อที่ต้องระมัดระวัง คือ หากเป็นกรณีที่นำข้อมูลของหน่วยงานของรัฐที่มีลิขสิทธิ์มาประกอบการเขียนตำรา
แต่ไม่มีการอ้างอิง กรณีนี้ถือได้ว่า เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะไม่มีการรับรู้ถึงความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในข้อมูลนั้น
นอกจากนั้น
หากนำข้อมูลของหน่วยงานของรัฐที่มีลิขสิทธิ์มาประกอบการเขียนตำรามากจนเกินไป เช่น
ข้อมูลมีจำนวน ๕๐ หน้า นำทั้ง ๕๐ หน้ามาประกอบการเขียนตำรา
โดยตำรานั้นรวมกับข้อมูลที่เอามาจาหน่วยงานของรัฐมีความหนารวมเพียง ๖๐ หน้า
เช่นนี้ย่อมถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
อนึ่ง
หากหน่วยงานของรัฐนั้นเป็นลักษณะการจัดทำรายงานตามอำนาจหน้าที่เพื่อเผยแพร่ เช่น
ข้อมูลสถิติต่าง ๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จัดทำเผยแพร่ตามอำนาจหน้าที่ เป็นต้น
เช่นนี้จะเข้าลักษณะเป็นรายงานของทางราชการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีลิขสิทธิ์
ตามมาตรา ๗ (๔) แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗
ผู้เขียนย่อมนำมาเขียนประกอบตำราได้ ไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
แต่โดยปกติมักจะมีการอ้างอิงว่า เป็นข้อมูลที่จัดทำโดยหน่วยงานใด
เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดว่า ผู้เขียนเป็นผู้จัดทำข้อมูลนั้น ..."
การนำบทความของตนเองที่เขียนลงหนังสือพิมพ์
นิตยสาร มารวมเป็นหนังสือ จะสามารถกระทำได้มากน้อยเพียงใด
หากการเขียนบทความนั้นมีการว่าจ้างจากหนังสือพิมพ์
นิตยสาร และมีการจ่ายค่าจ้างในลักษณะเป็นจ้างทำของ คือ จำนวนสูง
จะเข้าลักษณะของการจ้างทำของ ซึ่งตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗
กำหนดไว้ว่า
"มาตรา ๑๐ งานที่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ขึ้นโดยการรับจ้างบุคคลอื่น
ให้ผู้ว่าจ้างเป็นผู้มีลิขสิทธิ์ในงานนั้น
เว้นแต่ผู้สร้างสรรค์และผู้ว่าจ้างได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น"
โดยผลของมาตรา
๑๐ ลิขสิทธิ์ในบทความในกรณีแรกนี้จึงเป็นของผู้ว่าจ้าง (หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร)
ผู้เขียนไม่มีสิทธิในการนำมารวมพิมพ์เป็นหนังสือ
เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
หากการเขียนบทความนั้นไม่มีการตกลงว่าจ้าง
แต่เป็นการที่ผู้เขียนเขียนไปลงพิมพ์เผยแพร่
หนังสือพิมพ์หรือนิตยสารบางแห่งไม่มีการจ่ายค่าตอบแทน
กรณีนี้ย่อมชัดเจนว่าลิขสิทธิ์ในบทความนั้นเป็นของผู้เขียนในฐานะที่เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงาน
แต่ในบางกรณีหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารบางแห่งมีการจ่ายค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย
ค่าตอบแทนนี้เป็นเพียงค่าตอบแทนในการนำบทความนั้นลงพิมพ์ในครั้งนั้น
ไม่ใช่การตอบแทนการซื้อลิขสิทธิ์ เช่นนี้บทความนั้น ๆ ยังคงเป็นของผู้เขียนบทความ
ผู้เขียนบทความจึงสามารถนำมารวมพิมพ์เป็นหนังสือได้ หรือนำมาใช้ในงานวิทยานิพนธ์หรืองานวิจัยของตนเองได้