ความผิดพลาดในการดำเนินคดีอาญานั้น เป็นที่ยอมรับในกระบวนการยุติธรรมว่า ต้องมีขึ้นบ้างอย่างแน่นอน ดังนั้น จึงได้มีกฎหมายให้สิทธิแก่จำเลยที่ถูกดำเนินคดีอาญาและศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษให้สามารถขอรื้อคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ได้ เช่น มีหลักฐานเพิ่มเติมแน่ชัดแสดงต่อศาลว่า ตนไม่ใช่ผู้กระทำความผิดโดยถูกฟ้องผิดตัว ถูกกลั่นแกล้ง หรือพยานเบิกความเป็นเท็จทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องถูกลงโทษ ฯลฯ โดยสามารถอาศัย พระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.๒๕๒๖ ขอให้ศาลมีคำสั่งรื้อคดีอาญาที่ตนต้องคำพิพากษาให้ลงโทษขึ้นพิจารณาใหม่ได้ โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญดังนี้
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรกำหนดให้บุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดมีสิทธิขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ในภายหลังหากปรากฏหลักฐานขึ้นใหม่ว่าบุคคลนั้นมิได้เป็นผู้กระทำความผิดและกำหนดให้มีสิทธิที่จะได้รับค่าทดแทน และได้รับบรรดาสิทธิที่เสียไปเพราะผลแห่งคำพิพากษานั้นคืน หากปรากฏตามคำพิพากษาของศาลที่พิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ว่าบุคคลผู้นั้นมิได้กระทำความผิด จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
“คดี” หมายความว่า คดีอาญา
“คำร้อง” หมายความว่า
คำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด
ให้ลงโทษแล้วขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่
มาตรา ๕ คดีใดที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้บุคคลใดต้องรับโทษอาญาในคดีนั้นแล้ว
อาจมีการร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้ เมื่อปรากฏว่า
(๑)
พยานบุคคลซึ่งศาลได้อาศัยเป็นหลักในการพิพากษาคดีอันถึงที่สุดนั้น
ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังแสดงว่าคำเบิกความของพยานนั้นเป็นเท็จ
หรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริง
(๒) พยานหลักฐานอื่นนอกจากพยานบุคคลตาม (๑)
ซึ่งศาลได้อาศัยเป็นหลักในการพิจารณาพิพากษาคดีอันถึงที่สุดนั้น
ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังแสดงว่าเป็นพยานหลักฐานปลอมหรือเป็นเท็จ
หรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริง หรือ
(๓)
มีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งถ้าได้นำมาสืบในคดีอันถึงที่สุดนั้น
จะแสดงว่าบุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นไม่ได้กระทำความผิด
มาตรา ๖ บุคคลดังต่อไปนี้มีสิทธิยื่นคำร้อง
(๑) บุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุด
(๒) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาลในกรณีที่บุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นเป็นผู้เยาว์
หรือคนไร้ความสามารถ
(๓)
ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นของนิติบุคคลในกรณีที่นิติบุคคลนั้นต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุด
(๔) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาของบุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งถึงแก่ความตายก่อนที่จะมีการยื่นคำร้อง
หรือ
(๕)
พนักงานอัยการในกรณีที่พนักงานอัยการมิได้เป็นโจทก์ในคดีเดิม
อธิบาย ในการขอรื้อคดีอาญานี้ ต้องปรากฏว่า ผู้ต้องคำพิพากษาหรือจำเลยนั้นถูกลงโทษอาญา
โดยมีคำพิพากษาถึงที่สุดเสียก่อน (คำว่า
คำพิพากษาถึงที่สุดหมายถึง
กรณีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์ ฎีกา
แล้วไม่มีผู้ใดอุทธรณ์
หรือถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกา)
และต้องปรากฏว่า
และต้องปรากฏว่า
(๑)
พยานบุคคลซึ่งศาลได้อาศัยเป็นหลักในการพิพากษาคดีอันถึงที่สุดนั้น
ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังแสดงว่าคำเบิกความของพยานนั้นเป็นเท็จ
หรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริง
อธิบาย ในกรณีตามอนุมาตรานี้ ต้องมีการฟ้องร้องต่อพยานในคดีอาญาที่ตนต้องคำพิพากษาว่า เบิกความเท็จ และศาลมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่า พยานในคดีดังกล่าวเบิกความเท็จ
อธิบาย ในกรณีตามอนุมาตรานี้ ต้องมีการฟ้องร้องต่อพยานในคดีอาญาที่ตนต้องคำพิพากษาว่า เบิกความเท็จ และศาลมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่า พยานในคดีดังกล่าวเบิกความเท็จ
(๒)
พยานหลักฐานอื่นนอกจากพยานบุคคลตาม (๑)
ซึ่งศาลได้อาศัยเป็นหลักในการพิจารณาพิพากษาคดีอันถึงที่สุดนั้น
ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังแสดงว่าเป็นพยานหลักฐานปลอมหรือเป็นเท็จ
หรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริง หรือ
อธิบาย
ในกรณีตามอนุมาตรานี้ ต้องมีการฟ้องร้องต่อพยานในคดีอาญาที่ตนต้องคำพิพากษาว่า นำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ และศาลมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่า หลักฐานในคดีดังกล่าวนั้นเป็นหลักฐานปลอมหรือเป็นเท็จ
(๓)
มีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งถ้าได้นำมาสืบในคดีอันถึงที่สุดนั้น
จะแสดงว่าบุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นไม่ได้กระทำความผิด
อธิบาย
มีพยานหลักฐานเพิ่มขึ้นมาใหม่ที่จะแสดงได้ว่า
บุคคลผู้ต้องโทษอาญานั้นไม่ได้กระทำความผิด ถูกใส่ความ
หรือถูกฟ้องผิดตัว
(ถ้าไม่มีหลักฐานแน่ชัด
ศาลมีอำนาจที่จะไม่อนุญาตให้รื้อคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้)
6555/2548 คำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ของผู้ร้องอ้างแต่เพียงว่า
คำเบิกความของพยานบุคคลโจทก์ 4 ปาก
ที่ศาลอาศัยเป็นหลักในการพิพากษาลงโทษผู้ร้องทั้งสี่เป็นคำเบิกความเท็จ
ไม่ถูกต้องตรงกับความจริง
โดยไม่ปรากฏว่าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในภายหลังแสดงว่าคำเบิกความของพยานดังกล่าวเป็นเท็จ
หรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริงแต่อย่างใด ทั้งปรากฏในคำฟ้องฎีกาว่าผู้ร้องทั้งสี่เพิ่งจะยื่นฟ้องพยานโจทก์ดังกล่าว
1 ปาก เป็นจำเลยในคดีอาญาข้อหาเบิกความเท็จ แจ้งความเท็จ
นำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานเท็จภายหลังจากที่ผู้ร้องทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องนี้แล้ว
กรณีจึงไม่ต้องด้วย พ.ร.บ. การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 5 (1) ส่วนที่ผู้ร้องทั้งสี่อ้างว่ามีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งถ้าได้นำมาสืบแล้วจะแสดงว่าผู้ร้องทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิด
ก็ปรากฏตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ว่าพยานบุคคลที่ผู้ร้องอ้างปากหนึ่งเคยเบิกความเป็นพยานจำเลยในคดีนี้ไว้แล้ว
ส่วนพยานปากอื่นล้วนเป็นบุคคลที่ผู้ร้องทั้งสี่รู้จักคุ้นเคยเพราะเป็นพนักงานที่ทำงานอยู่ในบริษัทผู้เสียหายเช่นเดียวกับผู้ร้องทั้งสี่บ้าง
เป็นญาติพี่น้องกับผู้ร้องทั้งสี่บ้าง
และเป็นเพื่อนบ้านของผู้ร้องทั้งสี่ซึ่งอยู่กับผู้ร้องทั้งสี่ในขณะเกิดเหตุบ้าง
และพยานเอกสารที่ผู้ร้องอ้างก็เป็นเพียงบันทึกความเห็นและข้อที่พยานดังกล่าวจะมาเบิกความ
พยานหลักฐานที่ผู้ร้องทั้งสี่อ้างตามคำร้องจึงเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ก่อนและผู้ร้องทั้งสี่ทราบดีอยู่แล้ว
ไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีที่ผู้ร้องทั้งสี่จะอ้างมาเป็นเหตุขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตาม
พ.ร.บ. การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 5
(3) ได้ คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่จึงไม่มีมูล
ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ได้โดยไม่ต้องไต่สวน
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่โดยไม่ทำความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค
1 เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งเพราะอำนาจในการมีคำสั่งเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค
1 และการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนนั้นจะเป็นการไม่ชอบด้วย
พ.ร.บ. การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 10
แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว
ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค
1
มีคำสั่งใหม่
มีคำสั่งใหม่
6582/2547 ตาม พ.ร.บ.
การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 5 บัญญัติว่า
"คดีใดที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้บุคคลใดต้องรับโทษอาญาในคดีนั้นแล้ว
อาจมีการร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้ เมื่อปรากฏว่า (1)…
(2)… (3) มีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งถ้าได้นำมาสืบในคดีอันถึงที่สุดนั้น
จะแสดงว่าบุคคลผู้ต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดนั้นไม่ได้กระทำความผิด"
จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าคดีที่จะได้รับการรื้อฟื้นขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้จะต้องเป็นคดีที่ได้มีการนำพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ความผิดนั้นแล้ว
แม้ผู้ร้องจะเป็นบุคคลที่ต้องรับโทษอาญา เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด
ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะต้องมายื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางในคดีดังกล่าว ตาม
ป.อ. มาตรา 36 เพื่อศาลชั้นต้นจะได้ทำการไต่สวนพยานหลักฐานตามคำร้องว่า
ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง
และมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดจริงหรือไม่เสียก่อน
เมื่อผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องขอคืนของกลางเพื่อให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่ง
กรณีจึงยังไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะมายื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่โดยอ้างว่าผู้ร้องมีพยานหลักฐานใหม่ที่จะแสดงว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยการกระทำความผิดของจำเลย
เพราะในคดีเดิมซึ่งถึงที่สุดศาลมิได้วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้
แต่การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้องโดยมิได้ทำความเห็นส่งไปให้
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 สั่ง และศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ย่อมไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.
2526 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง
ที่บัญญัติให้เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งคำร้องดังกล่าว
อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏว่าคดีนี้ได้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว
ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค
7 มีคำสั่งใหม่
ในการยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งรื้อคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ทีได้ยื่นคำร้องโดย บุคคลตามมาตรา ๖ (๑) – (๔) ศาลจะต้องมีคำสั่งไต่สวนคำร้องเพื่อพิจารณาพยานหลักฐานตามข้ออ้างเสียก่อนว่ามีมูลเพียงพอให้รื้อคดีขึ้นพิจารณาใหม่หรือไม่ เว้นแต่กรณีที่พนักงานอัยการเป็นผู้ยื่นคำร้อง ศาลจะสั่งไต่สวนหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้เป็นไปตามมาตรา ๙
มาตรา ๙ ให้ศาลที่ได้รับคำร้องทำการไต่สวนคำร้องนั้นว่ามีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่หรือไม่ เว้นแต่ในกรณีที่พนักงานอัยการเป็นผู้ร้อง ศาลจะไต่สวนคำร้องหรือไม่ก็ได้ ถ้าเห็นว่าไม่จำเป็นต้องไต่สวนคำร้อง ก็ให้ศาลสั่งรับคำร้องและดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ต่อไป คำสั่งของศาลในกรณีเช่นนี้ให้เป็นที่สุด
ในการไต่สวนคำร้องตามวรรคหนึ่ง
ให้ศาลส่งสำเนาคำร้องและแจ้งวันนัดไต่สวนไปให้โจทก์ในคดีเดิมทราบ
ในกรณีที่โจทก์ในคดีเดิมมิใช่พนักงานอัยการ
ให้ส่งสำเนาคำร้องและแจ้งวันนัดไต่สวนให้พนักงานอัยการทราบด้วย
พนักงานอัยการและโจทก์ในคดีเดิมจะมาฟังการไต่สวนและซักค้านพยานของผู้ร้องด้วยหรือไม่ก็ได้
ผู้ร้องและโจทก์ในคดีเดิมมีสิทธิแต่งทนายแทนตนได้
เมื่อได้ไต่สวนคำร้องแล้ว
ให้ศาลที่ไต่สวนคำร้องส่งสำนวนการไต่สวนพร้อมทั้งความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์โดยไม่ชักช้า
ให้ผู้พิพากษา
ตุลาการของศาลตามกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมที่กฎหมายกำหนดให้เป็นศาลทหาร
หรือตุลาการพระธรรมนูญคนเดียวมีอำนาจไต่สวนคำร้องและทำความเห็นได้
หากศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องแล้ว
เห็นว่า กรณีไม่มีมูลที่จะรื้อคดีขึ้นพิจารณาใหม่ คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด
(หมายความว่า ผู้ต้องคำพิพากษาไม่อาจขอรื้อคดีได้ใหม่ หรือจะฎีกาต่อไปอีกก็ไม่ได้) การสั่งคำร้องเป็นอำนาจเฉพาะของศาลอุทธรณ์เท่านั้น ทั้งนี้เป็นไปตามมาตรา ๑๐
มาตรา ๑๐ เมื่อศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนการไต่สวนและความเห็นแล้ว
ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำร้องนั้นมีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่
ให้ศาลอุทธรณ์สั่งรับคำร้องและสั่งให้ศาลชั้นต้นที่รับคำร้องดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ต่อไป
แต่ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำร้องนั้นไม่มีมูล ให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องนั้น
คำสั่งของศาลอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด
สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพราะอำนาจแห่งกรรมบันดาล จึงยังให้ผู้บริสุทธิ์กลายเป็นมีผิด อาจจะเป็นด้วยเหตุตนเคยใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นไว้ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติก่อนก็ตาม พึงแก้กรรมด้วยการเว้นจาก กายทุจริต มโนทุจริต วจีทุจริต เดินทางมรรคมีองค์แปด สำรวมกาย วาจาด้วยศีล สำรวมใจด้วยภาวนา หนักจะกลายเป็นเบา ดุจเติมน้ำจืดลงไปในน้ำเค็ม ฉะนั้น / ครูนัท หนอนพระไตรปิฎก
สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพราะอำนาจแห่งกรรมบันดาล จึงยังให้ผู้บริสุทธิ์กลายเป็นมีผิด อาจจะเป็นด้วยเหตุตนเคยใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นไว้ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติก่อนก็ตาม พึงแก้กรรมด้วยการเว้นจาก กายทุจริต มโนทุจริต วจีทุจริต เดินทางมรรคมีองค์แปด สำรวมกาย วาจาด้วยศีล สำรวมใจด้วยภาวนา หนักจะกลายเป็นเบา ดุจเติมน้ำจืดลงไปในน้ำเค็ม ฉะนั้น / ครูนัท หนอนพระไตรปิฎก
ขอบพระคุณมากครับ
ตอบลบ