ฟ้องซ้อน 173 วรรค 2 (1)
มาตรา 173
เมื่อศาลได้รับคำฟ้องแล้ว
ให้ศาลออกหมายส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยเพื่อแก้คดี
และภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันยื่นคำฟ้อง
ให้โจทก์ร้องขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้ส่งหมายนั้น
นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้วคดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้
(1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน
หรือต่อศาลอื่น
หลักเกณฑ์สำคัญ
คำว่า “ห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือศาลอื่น” หมายความว่าโจทก์จะยื่นคำฟ้องจำเลยคนเดียวกันในเรื่องเดียวกันในขณะที่คดีเดิมยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาต่อศาลนั้นไม่ได้หรือต่อศาลอื่นก็ไม่ได้
1.
ห้ามโจทก์ฟ้อง
2.
ต้องเป็นคู่ความเดียวกัน
3.
ต้องเป็นเรื่องเดียวกัน
4.
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา
5.
ไม่จำกัดศาลว่าต้องเป็นศาลเดียวกัน
หลักเกณฑ์ข้อที่ 1
โจทก์หมายถึง
1.
โจทก์เดิม
2.
จำเลยผู้ฟ้องแย้ง
ซึ่งมีฐานนะเป็นโจทก์ในคำฟ้องแย้ง
3.
ผู้ร้องขัดทรัพย์
เพราะเมื่อมีการร้องขัดทรัพย์ ในคดีร้องขัดทรัพย์ผู้ร้องเป็นโจทก์
โจทก์เดิมเป็นจำเลย
4.
ผู้ร้องสอดตามมาตรา 57 (1) เข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่ 3 มีฐานะเป็นโจทก์เช่นกัน
5.
ผู้ร้องสอดโดยสมัครใจตามมาตรา 57(2)
หลักเกณฑ์ข้อที่ 2 ต้องเป็นคู่ความเดียวกัน
หมายความว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายคดีก่อน
และคดีหลังต้องเป็นคู่ความเดียวกัน
ต้องเป็นโจทก์ จำเลยคนเดียวกันรวมทั้งผู้สืบสิทธิ ถ้าพลัดกันเป็นโจทก์
เป็นจำเลยก็ไม่เข้าหลักเกณฑ์เรื่องฟ้องซ้อน
ฎีกาที่ 2579/2525 การที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีก่อนแล้วขาดนัดยื่นคำให้การ
และคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นนั้น
หาได้มีกฎหมายห้ามมิให้โจทก์ยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่ไม่ เพราะไม่ใช่เป็นกรณีฟ้องซ้อนตาม ป.ว.พ. ม.173วรรคสอง (1) เนื่องจากโจทก์ในคดีนี้มิได้เป็นโจทก์ในคดีก่อน
และมิใช่เป็นการฟ้องซ้ำตาม ม.148
เพราะคดีก่อนยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
ฎีกาที่ 702/2524 ผู้จัดการมรดกในฐานะตัวแทนของทายากรวมทั้งโจทก์ในคดีนั้นเป็นโจทก์ ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสี่ออกจากที่พิพาท คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ในคดีนี้มาฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสี่ออกจากที่พิพาทเดียวกันอีก ฟ้องทั้งสองจึงเป็นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน
เพราะสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับเป็นอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้อนตาม ป.ว.พ. ม.173
(ถ้าฟ้องในฐานนะผู้จัดการมรดกหมายถึงการฟ้องแทนทายาททุกคน)
-
ผู้ร้องสอด มีสองกรณี
ถ้าเข้ามาเพราะศาลเรียกไม่ถือว่าเป็นฟ้องซ้อน และถ้าเข้ามาในฐานะคู่ความฝ่ายที่ 3 อาจเป็นฟ้องซ้อนได้
ฎีกาที่ 3129/2524 ผู้ร้องตั้งสิทธิของผู้ร้องเข้ามาในคดีในฐานะคู่ความฝ่ายที่สาม และเป็นปฏิปักษ์แก่ทั้งโจทก์และจำเลย
หาใช่เข้ามาเพียงเป็นจำเลยต่อสู้คดีกับโจทก์โดยเฉพาะไม่ ซึ่งถ้าศาลรับคำร้องสอดไว้
โจทก์จำเลยก็ต้องให้การแก้คำร้องสอด
คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นคำฟ้อง
และผู้ร้องอยู่ในฐานะเป็นโจทก์หาใช่เป็นจำเลยไม่
ทั้งสิทธิที่ผู้ร้องอ้างว่าถูกโจทก์จำเลยโต้แย้งนี้
ผู้ร้องได้ฟ้องโจทก์จำเลยแล้วคดีอยู่ในระหว่างพิจารณา
คำร้องสอดของผู้ร้องจึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตาม ป.ว.พ.ม.173 (1)
- ถ้าศาลเรียกเข้ามาไม่สมัครใจเข้ามาไม่ถือว่าเป็นฟ้องซ้อน
ฎีกาที่ 1337/2519 คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2
ต่อศาลขอแบ่งมรดก
คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1
เป็นคนละคนกันจำเลยที่ 2
เข้ามาเป็นจำเลยในคดีนี้ก็ด้วย
การที่ศาลเรียกให้เข้ามาตาม ป.ว.พ. มาตรา 57 (3) ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน
หลักเกณฑ์ข้อที่ 3 ต้องเป็นเรื่องเดียวกันที่สืบสืบเนื่องมาจากมูลกรณีเดียวกับคดีก่อน
แม้จะเปลี่ยนแปลงข้ออ้างหรือสภาพแห่งข้อหาหรือเรียกร้องให้รับผิดในจำนวนเงินอื่น
ๆ ก็เป็นเรื่องเดียว
ฎีกาที่ 1673/2517 เดิมจำเลยฟ้องให้โจทก์รับผิดฐานละเมิด คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา
โจทก์กลับฟ้องว่าจำเลยแกล้งฟ้องโจทก์โดยไม่มีมูลขอให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การสู้คดีและฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดฐานละเมิดทำนองเดียวกับคดีก่อนและเป็นการละเมิดซึ่งกระทำในคราวเดียวกัน
เพียงแต่ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายเพิ่มเติมอีกบางประการ
ซึ่งจำเลยอาจเรียกร้องได้ในคดีเดิมอยู่แล้ว
ดังนี้
ฟ้องแย้งของจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
วรรคสอง (1)
-
ถ้าเป็นสิทธิที่มีอยู่แล้วในขณะฟ้อง
แต่เพิ่งพบระหว่างการพิจารณาคดีแรก ก็ต้องขอแก้ไข
เพิ่มเติมคำฟ้องจะมาฟ้องใหม่ไม่ได้เป็นฟ้องซ้อน
แต่ไม่เป็นฟ้องซ้ำเพราะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา
ฎีกาที่ 1803/2512 โจทก์ฟ้องจำเลยในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินสำนักงาน ก.พ. ให้รับผิดในยอดเงินขาดบัญชี
อยู่ในความรับผิดชอบระหว่างพิจารณาปรากฏผลการตรวจสอบครั้งหลังว่ายอดเงินขาดบัญชีมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก 9,600 บาทเช่นนี้
โจทก์ชอบที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนทุนทรัพย์ในฟ้องเดิมตามมาตรา 179,180 โจทก์จะฟ้องเป็นคดีใหม่อีกต่างหากในเรื่องเดียวกันนี้เป็นการต้องห้ามตามมาตรา 173 (1)
ข้อสังเกต สิทธิที่เป็นมูลฟ้องต้องมีอยู่ก่อนหรือขณะฟ้องคดีแรก
ถ้าไม่มีอยู่ตามฟ้องคดีแรกอาจเกิดขึ้นหลังจากฟ้องแล้วโจทก์ไม่สามารถจะอ้างเห็นเป็นมูลฟ้องในคดีเดิมได้ ฟ้องโจทก์ที่ยื่นใหม่ก็ไม่เป็นฟ้องซ้อน
***ฎีกาที่ 316/2511
เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาเช่า
เพราะจำเลยให้เช่าช่วงและทำให้อาคารของโจทก์เสียหาย ในระหว่างพิจารณาคดีนั้นสัญญาเช่าหมดอายุ
โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยเรียกค่าเสียหายอีกโดยอ้างว่าสัญญาเช่าระงับแล้ว ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ในคดีหลังไม่ต้องห้ามตาม มาตรา 173
เพราะมูลฟ้องของโจทก์คดีหลังเกิดขึ้นหลังจากที่โจทก์ฟ้องคดีเดิมแล้ว จึงมิใช่เป็นเรื่องเดียวกับคดีเดิม (ฟ้องเดิมกับฟ้องใหม่อาศัยคนละเหตุกัน)
-
คดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลไม่จำกัดว่าต้องฟ้องในศาลเดียวกัน โจทก์จะฟ้องต่อศาลอื่นก็ไม่ได้
- หลักในเรื่องฟ้องซ้อนใช้กับคดีอาญาโดยอาศัยมาตรา
15 ป.วิอาญาด้วย
- ปัญหาเรื่องฟ้องซ้อนเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศิลธรรมอันดีของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น