วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความแตกต่างระหว่าง ชิงทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์


ความผิดฐานชิงทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์ในบางคำพิพากษาศาลฎีกาอาจจะทำให้นักศึกษาเกิดความสงสัย หรือลังเลในการวินิจฉัย  เพราะบางคำพิพากษาศาลฎีกาดูเหมือนจะมีการใช้กำลังทำร้าย แต่ศาลกลับวินิจฉัยว่า เป็นเพียงวิธีการเอาทรัพย์เท่านั้น มิใช่การใช้กำลังประทุษร้าย  ซึ่งสร้างความสับสนงุนงง ให้แก่ผู้ศึกษาเป็นอย่างมาก

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับนิยามของความผิดฐานชิงทรัพย์เสียก่อนว่า เป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่ประกอบด้วยความผิดหลักสองฐานความผิดคือ ลักทรัพย์และทำร้ายร่างกาย  หากขาดข้อใดข้อหนึ่งย่อมไม่ใช่ความผิดฐานชิงทรัพย์  เช่น การเข้าต่อยตีของนักเรียนช่างกล แล้วมีการเอาทรัพย์ไปโดยมีเจตนาอวดศักดา  ไม่มีลักษณะการเอาทรัพย์ไปโดยทุจริตไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ก็ย่อมไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ด้วย (๔๔๕/๒๕๓๗)

หรือมีเจตนาทำร้ายร่างกาย  แล้วต่อมาจึงมีเจตนาเอาทรัพย์ไปในภายหลัง  ก็มิใช่การกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายและลักทรัพย์  ต่างกรรมต่างวาระกัน  (๑๒๖๑/๒๕๑๓)

ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์และชิงทรัพย์จึงมีจุดตัดกันที่เจตนาทำร้ายร่างกาย  ถ้ามีเจตนาทำร้ายร่างกายประกอบด้วยจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์  แต่ถ้าการบาดเจ็บของผู้เสียหายเกิดจากผลของการฉกฉวยเอาซึ่งหน้าจะเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ที่ต้องปรับด้วยบทหนัก
พฤติกรรมบางอย่างที่จำเลยกระทำแล้วมีผลให้ผู้เสียหายเป็นบาดแผลเล็กน้อย  แต่จำเลยมิได้มีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย  บาดแผลนั้นเกิดจากการเอาทรัพย์โดยฉกฉวย  หรือบาดแผลนั้นเกิดจากวิธีการเอาทรัพย์ของจำเลย  จึงไม่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายตามนัยยะมาตรา ๑ (๖) ไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ เช่น 
ฎีกาที่  ๒๑๐๐/๒๕๒๑ จำเลยรวบคอผู้เสียหายเพื่อให้รู้ว่าสวมสร้อยคออยู่ แล้วกระตุกสร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง สร้อยบาดคอเป็นแผลไม่ถึงเป็นอันตรายแก่กาย ไม่เป็นชิงทรัพย์ เป็นการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า มีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
ตามคำพิพากษาฎีกาฉบับนี้  ปัญหาสำคัญอยู่ที่สร้อยคอมีขนาดเพียงสองสลึง  จึงไม่อาจเล็งเห็นผลได้ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย แต่ถ้าสร้อยคอมีขนาดใหญ่  จำเลยเล็งเห็นผลได้ว่าจะทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ  จะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์มิใช่วิ่งราวทรัพย์

การวิ่งราวทรัพย์แล้วมีผลทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ  จะต้องปรับด้วยบทหนักตามวรรคสอง  วรรคสาม  และวรรคท้าย  จะไปปรับด้วยชิงทรัพย์ไม่ได้

ดังที่กล่าวมาแล้วเบื้องต้นว่า ความผิดฐานชิงทรัพย์นั้น จำเลยต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลเพื่อทำร้ายร่างกายผู้เสียหายประกอบด้วย  จึงจะเป็นการลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย   จุดนี้นักศึกษามักลืมนำมาตรา  ๕๙  วรรคสอง  มาวินิจฉัยด้วย  อาจจะเป็นเพราะความหลงลืมหรือไม่แม่นยำในตัวบทกฏหมายมาตรา  ๕๙ วรรคสอง  เมื่อพบข้อเท็จจริงจึงไม่ชัดในความหมายของคำว่า “เจตนา”   ถ้าข้อเท็จจริงเป็นเจตนาประสงค์ต่อผล เช่น  ใช้มีดจี้  หรือทำร้ายร่างกายผู้เสียหายแล้วกระชากเอาสร้อยไป  ค่อนข้างจะชัดเจนวินิจฉัยง่าย  แต่ถ้าข้อเท็จจริงเป็นการกระชากสร้อยธรรมดา  ไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลในการทำร้ายร่างกายเลย  นักศึกษาจะเริ่มลังเล  นั่นเพราะหลงลืมนำเจตนาเล็งเห็นผลมาวินิจฉัยด้วย    เช่น  การกระแทกไหล่เพื่อเอากระเป๋าสตางค์ไป  (๑๔๖๙/๒๔๙๔)   เป็นการใช้กำลังประทุษร้าย  เพราะในการนำสืบ  เห็นชัดว่า จำเลยมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเพื่อล้วงเอากระเป๋าสตางค์ไป  (คำพิพากษาฎีกาสั้นๆ บางครั้งจะทำให้ผู้อ่านไม่เห็นชัดในพฤติกรรมการนำสืบ ควรอ่านคำพิพากษาฎีกาฉบับเต็ม)

ในบางคำพิพากษาฎีกา  จำเลยน่าจะผิดชิงทรัพย์  แต่ศาลกลับลงแค่ลักทรัพย์ หรือวิ่งราวทรัพย์  นักศึกษาต้องไปอ่านคำพิพากษาฎีกาฉบับเต็ม เพราะบางคดี  โจทก์มิได้มีคำขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์  ศาลจะพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องไม่ได้


4 ความคิดเห็น:

  1. อ้อ!!! ต่างกันอย่างนี้นี่เอง

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ21/2/55 17:24

    ขอบคุณ สำหรับความรู้ ครับอาจารย์

    ตอบลบ
  3. prasit jaidee27/2/55 15:34

    ขอบคุณครับ

    ตอบลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น