วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หลักฐานการเช่า มาตรา 538






หลักฐานการเช่า (เช่าทรัพย์)
ตามที่กฎหมายว่าด้วยการเช่าทรัพย์ ได้บัญญัติถึงหลักฐานการเช่าไว้ในมาตรา ๕๓๘  โดยเนื้อหาว่า การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้  และการเช่าที่เกินกว่าสามปีขึ้นไป จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น 
หลักฐานการเช่าดังกล่าวจึงเป็นฐานที่ตั้งแห่งการฟ้องร้องบังคับคดีและต่อสู้คดีอันเกี่ยวกับสัญญาเช่า  ดังนั้น ถ้าประเด็นในคดีใดที่ไม่ต้องอาศัยสัญญาเช่า  ก็ไม่จำต้องพิจารณาว่ามีหลักฐานการเช่าหรือไม่ เช่น การฟ้องขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เช่า

มาตรา 538 เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ อย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่า จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทำเป็น หนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่นนั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี 

เมื่อพิจารณาบทบัญญัติของมาตรานี้ ต้องทำความเข้าใจเรื่องหลักฐานการเช่านี้เป็นสองกรณีคือ
๑.     หลักฐานการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่เช่ากันต่ำกว่าสามปี
๒.   หลักฐานการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่เช่ากันเกินกว่าสามปี


โดยหากเป็นกรณีที่ ๑  คือเช่ากันต่ำกว่าสามปีแล้ว เพียงแค่ทำเป็นหนังสือระหว่างผู้เช่ากับผู้ให้เช่า ลงลายมือชื่อคู่สัญญาเช่าคือทั้งฝ่ายผู้เช่า ผู้ให้เช่า เอาไว้ก็เพียงพอที่จะนำมาฟ้องบังคับคดีอันเกี่ยวด้วยบทบัญญัติเรื่องการเช่าเช่น  การฟ้องบังคับค่าเช่า  การฟ้องบังคับเงินสำรองในการซ่อมแซมทรัพย์สินที่เช่าไปก่อน การฟ้องบังคับให้จดทะเบียนการเช่า ได้ เป็นต้น


กรณีที่ ๒  การเช่าอสังหาริมทรัพย์กันเกินกว่าสามปี  จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ถ้าทำเป็นหนังสือแต่ไม่ได้นำไปจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่  สัญญาเช่านั้นจะมีผลบังคับได้แค่ตามกรณีที่ ๑ คือสามปีเท่านั้น 


ข้อสังเกต  ถ้าการเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือเลย จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้เลย แม้เช่ากันสามวันก็ไม่อาจฟ้องเรียกค่าเช่าได้


ปัญหาว่า  ถ้าทำสัญญาเช่ากันเกินกว่าสามปี เช่นทำสัญญาเช่ากัน ห้าปี  ผลของสัญญาจะเป็นไปตามกรณีที่ ๑ คือฟ้องร้องบังคับค่าเช่าได้เพียงสามปี  เมื่อสิ้นสุดสามปี  ผู้ให้เช่าไม่ต้องการให้ผู้เช่า  เช่าทรัพย์สินต่อไป  ผู้ให้เช่าสามารถบังคับขับไล่ผู้เช่าออกจากทรัพย์สินที่เช่าได้ทันที  แต่จะเรียกค่าเช่าในส่วนที่เกินจากสามปีไม่ได้แม้แต่วันเดียว  แต่ถ้าหากว่า ผู้ให้เช่า คงให้ผู้เช่า ครอบครองทรัพย์สินที่เช่าต่อไปในฐานะตามสัญญาเช่า โดยถือว่าเป็นการเช่าที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา  การบอกเลิกสัญญาจะต้องบอกล่วงหน้าก่อนตามกฎหมาย  


มาตรา 570 ในเมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้า ผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่าน ให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลา 
มาตรา 566 ถ้ากำหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกัน หรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญา เช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกำหนดชำระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อน ชั่วกำหนดเวลาชำระ ค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่า สองเดือน 


แต่อย่างไรก็ดี  การเช่าที่เกินสามปีนั้น จะฟ้องร้องเรียกค่าเช่า ไม่ได้เลย  แต่ถ้าผู้เช่าจ่ายค่าเช่ามาแล้วก็ไม่ต้องคืน แต่ถ้าเขาไม่จ่ายค่าเช่าก็ฟ้องเรียกค่าเช่าไม่ได้ เพราะกฎหมายไม่คุ้มครองเนื่องจากมีเจตนาหลีกเลี่ยงกฎหมาย  


ในเรื่องการบอกกล่าวเพื่อขับไล่นั้น  เมื่อพิจารณามาตรา ๕๗๐ และ ๕๖๖  แล้วจะเห็นได้ว่า ใช้บังคับ (ให้บอกกล่าวล่วงหน้า) เฉพาะแต่กรณีที่มีหลักฐานการเช่ากัน ถ้าไม่มีหลักฐานการเช่าเลย คือเช่ากันโดยปากเปล่า  ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการเช่า การขับไล่สามารถทำได้ทันที ค่าเช่าก็จะฟ้องเรียกกันไม่ได้เลย  (คำพิพากษาฏีกาที่ ๕๔๐/๒๕๑๗)



วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

หย่าเพราะมีชู้




ภริยาสามีมิชอบเนื้อพึงใจกัน เฃาจะหย่ากันไซ้ตามน้ำใจเขา เหดุว่าเฃาทังสองนั้นสิ้นบุญกันแล้ว จะจำใจให้อยู่ด้วยกันนั้นมิได้   (อักขระตามกฎหมายเดิม)

เมื่อกล่าวถึงสามีภริยา  ชาวพุทธคงอดนึกถึงบุญเคยทำกรรมเคยแต่งร่วมกันมา  ตักบาตรร่วมขัน ทำบุญร่วมชาติ  สามีภริยาในความเข้าใจของชาวพุทธคือการอยู่ร่วมกันด้วยบุญ  เมื่อสิ้นบุญ  ก็หมดรักกัน  เหตุหย่าร้าง  การนอกใจ  จึงปรากฏให้เห็นเสมอ  ดังคู่ของ  นายสมชายกับนางสมหญิง  เรื่องราวที่เกี่ยวพันกับกฏหมายครอบครัว  เรื่องรักราวและมือที่สาม  จนถึงมือที่สี่

นายสมชายกับนางสมหญิง  แต่งงานอยู่กินจดทะเบียนสมรสกัน  อยู่กินกันมาได้ระยะหนึ่ง  นายสมชายก็จับได้ว่า นางสมหญิงคบหากับนายสามฉันสามีภริยา  กล่าวตามภาษากฎหมายโบราณว่า “ชู้”  นายสมชายจับได้พร้อมภาพถ่าย มีหลักฐานแน่นหนา  แต่นายสมชายก็มิได้ติดใจต้องการหย่าร้างกับนางสมหญิงแต่อย่างใด  นายสมชายคิดว่าเมื่อเธอทำได้ฉันก็ทำได้  นายสมชายจึงได้คบหากับนางสาวสี่ฉันสามีภริยาเช่นกัน  จนวันหนึ่งความทราบถึงนางสมหญิง  นางสมหญิงจึงปรารภว่าจะฟ้องหย่านายสมชายและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู  ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า นางสมหญิงมีสิทธิจะทำเช่นนั้นหรือไม่ และนายสมชายสามารถใช้ข้อต่อสู้ว่านางสมหญิงเองก็มีชู้ขึ้นต่อสู้นางสมหญิงได้หรือไม่ 

เมื่อชายและหญิงแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันแล้วอย่างถูกต้องตามกฏหมาย  จะเบื่อหน่าย  ขัดใจกันอย่างไร  ก็ไม่มีสิทธิที่อีกฝ่ายจะคบหากับชายหรือหญิงอื่นฉันสามีภริยา  จนกว่าทั้งสองฝ่ายจะได้ตกลงให้อิสระภาพแก่กันด้วยการหย่าเสียก่อน  ดังนั้นเมื่อนายสมชายพบว่านางสมหญิงคบหากับชายอื่น  นายสมชายมีสิทธิที่จะขอหย่า  ถ้านางสมหญิงไม่ยอมหย่า  นายสมชายมีสิทธิที่จะฟ้องหย่าและเรียกค่าเสียหายจากนายสมหญิงภริยา  นายสามชายชู้ได้  
มาตรา 1516 เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้
http://www.kodmhai.com/Pickodmhai/Spac1.gif(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้



มาตรา 1523 เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตาม มาตรา 1516 (1) ภริยาหรือสามี มีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่อง หรือผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น
 สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทำนองชู้สาวก็ได้และ ภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผย เพื่อแสดงว่าตน มีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวก็ได้
 
            แต่ปรากฏว่า  นายสมชายก็ไม่ได้กระทำเช่นนั้น  แต่นายสมชายเลือกที่จะใช้วิธีที่กฏหมายไม่ได้ให้สิทธิแก่ตนคือ  คบหากับนางสาวสี่และมีความสัมพันธ์กันฉันสามีภริยา  แน่นอนว่า  การกระทำของนายสมชายจึงเป็นเหตุให้นางสมหญิงสามารถที่จะฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนทั้งจากนายสมชายและนางสี่ได้เช่นเดียวกัน
            ปัญหาว่า  ถ้านางสมหญิงฟ้องนายสมชายและนางสี่แล้ว  นายสมชายจะสามารถยกข้อต่อสู้พร้อมทั้งพยานหลักฐานที่ตนเคยจับได้ว่านางสมหญิงมีชู้มาต่อสู้ในศาลได้หรือไม่
            เหตุหย่าตามมาตรา ๑๕๑๖  เป็นเหตุให้ฝ่ายที่ถูกกระทำละเมิดเป็นผู้ใช้สิทธิฟ้องหย่า ไม่ใช่เหตุให้จำเลยที่ถูกฟ้องนำมาใช้เป็นข้อต่อสู้ในคดีได้  ประเด็นในคดีฟ้องหย่าตามมาตรา ๑๕๑๖ (๑) มีว่า  จำเลยทั้งสอง (สามีหรือภริยาแล้วแต่กรณี  และชู้)  ได้กระทำการคบหากันฉันสามีภริยาหรือไม่  จำเลยจึงมีข้อต่อสู้ว่า ใช่หรือไม่ใช่  ไม่มีประเด็นให้จำเลยนำสืบว่าอีกฝ่ายก็มีชู้  หากจำเลยเห็นว่าอีกฝ่ายก็มีชู้เป็นการเสียหายแก่จำเลยอย่างไร  จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิยื่นฟ้องอีกฝ่ายเป็นคดีใหม่  ดังนั้น นายสมชายจึงไม่มีสิทธิยกข้อต่อสู้ว่านางสมหญิงมีชู้ขึ้นต่อสู้  แม้ยกขึ้นต่อสู้ก็ไม่เป็นเหตุทำให้นายสมชายพ้นจากความรับผิดในคดีฟ้องหย่าได้
            ปัญหาว่า นายสมชายมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานที่ตนเคยเก็บไว้ได้ฟ้องนางสมหญิงและนายสามหรือไม่   ต้องพิจารณาตามข้อยกเว้นที่จะทำให้นายสมชายไม่สามารถใช้สิทธิฟ้องนางสมหญิงได้คือ นายสมชายได้ให้อภัยแก่นางสมหญิงแล้วหรือไม่  เมื่อทราบความว่านางสมหญิงคบชู้จึงมิได้ทำการฟ้องหย่าเสียตามกฏหมาย

มาตรา 1518 สิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไปในเมื่อฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้ กระทำการอันแสดงให้เห็นว่าได้ให้อภัยในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็น เหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้นแล้ว 

การที่นายสมชายทราบเรื่องการมีชู้ของนางสมหญิง  และได้ทำการสอบสวนถามความจากนางสมหญิงแล้ว แม้จะมิได้ติดใจฟ้องร้อง  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายสมชายได้ให้อภัยแก่การกระทำของนางสมหญิงชัดแจ้งแล้ว  นายสมชายจึงยังมีสิทธิที่จะฟ้องร้องแก่นางสมหญิงและนายสามได้อยู่

คำพิพากษาฎีกาที่ 3596/2546 ศาลวินิจฉัยไว้ว่า หากโจทก์รู้เห็นเป็นใจให้จำเลยทั้งสองอยู่กินเป็นสามีภริยากันแล้วจริง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่โจทก์จะไปร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 และร้องเรียนจำเลยที่ 2 ในการพิจารณาเลื่อนระดับของจำเลยที่ 2 ส่วนการที่โจทก์เห็นภาพถ่ายงานพิธีมงคลสมรสระหว่างจำเลยทั้งสองแล้วมิได้โต้แย้งคัดค้านหรือดำเนินการทางศาลก็ได้ความว่า ขณะจัดงานพิธีมงคลสมรสของจำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่ทราบเรื่อง แม้ต่อมาโจทก์เห็นภาพถ่ายดังกล่าวในภายหลังแล้วมิได้โต้แย้งคัดค้านก็ยังไม่พอฟังว่าโจทก์รู้เห็นเป็นใจ หรือยินยอมให้จำเลยทั้งสองอยู่กินเป็นสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าได้  อย่างไรก็ตามแม้จะไม่มีเหตุฟ้องหย่าเพราะภริยายินยอมให้สามียกย่องอุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นฉันภริยาได้ก็ตาม แต่เหตุฟ้องหย่าในกรณีอื่นก็ยังอาจมีได้ เช่น กรณีทะเลาะโต้เถียงกันหากรุนแรงถึงขั้นเป็นการหมิ่นประมาท หรือถึงขั้นที่เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง เช่น รุนแรงถึงขั้นโดนทำร้าย ด่าขับไล่ ฯลฯ ก็อาจจะเป็นเหตุฟ้องหย่าเพราะเหตุนี้ได้.

            แต่ถ้าภายหลังจากที่นายสมชายจับได้ว่านางสมหญิงมีชู้  นายสมชายก็ยังอยู่กินกับนางสมหญิงตามปกติ      มีความสัมพันธ์หลับนอนกันฉันสามีภริยากันตามปกติ  ไม่มีความบาดหมางใจ  ยังพานางสมหญิงไปเที่ยวยังที่ต่างๆ  พฤติการณ์เช่นนี้  อาจถือว่า นายสมชายได้ให้อภัยต่อนางสมหญิงแล้ว  เหตุฟ้องหย่าของนายสมชายที่จะฟ้องหย่านางสมหญิงได้จึงหมดไป  เมือนายสมชายเป็นฝ่ายก่อเหตุให้นางสมหญิงใช้สิทธิฟ้องหย่า  นายสมชายจะฟ้องกลับนางสมหญิงด้วยข้อหาว่านางสมหญิงมีชู้นั้นมิได้เลย
            และถ้านายสมชายถูกศาลพิพากษาให้หย่าจากนางสมหญิงด้วยเหตุมีชู้  หรือยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา  นายสมชายจะต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่นางสมหญิงด้วย 

มาตรา 1525 ค่าทดแทนตาม มาตรา 1523 และ มาตรา 1524 นั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์ โดยศาลจะสั่งให้ชำระครั้งเดียวหรือแบ่ง ชำระเป็นงวด ๆ มีกำหนดเวลาตามที่ศาลจะเห็นสมควรก็ได้ 
 ในกรณีที่ผู้จะต้องชำระค่าทดแทนเป็นคู่สมรสของอีกฝ่ายหนึ่ง ให้ศาล คำนึงถึงจำนวนทรัพย์สินที่คู่สมรสนั้นได้รับไปจากการแบ่งสินสมรส เพราะ การหย่านั้นด้วย 

มาตรา 1526 ในคดีหย่า ถ้าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของคู่สมรส ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว และการหย่านั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลง เพราะไม่มีรายได้พอจากทรัพย์สิน หรือจากการงานตามที่เคยทำอยู่ระหว่าง สมรส อีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะขอให้ฝ่ายที่ต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้ได้ ค่า เลี้ยงชีพนี้ศาลอาจให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้ ให้และฐานะของผู้รับและให้นำบทบัญญัติ มาตรา 1598/39 มาตรา 1598/40 และ มาตรา 1598/41 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
 สิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพเป็นอันสิ้นสุด ถ้ามิได้ฟ้องหรือฟ้องแย้งในคดี หย่านั้น

แต่ถ้าต่อมาปรากฏว่านางสมหญิงได้สมรสใหม่  สิทธิในการได้รับค่าเลี้ยงชีพนั้นย่อมสิ้นสุดลง
มาตรา 1528 ถ้าฝ่ายที่รับค่าเลี้ยงชีพสมรสใหม่ สิทธิรับค่าเลี้ยงชีพย่อม หมดไป 




ข้อห้ามในการหักกลบลบหนี้



ก่อนอ่านบทความนี้ ควรอ่านบทความเรื่องการหักกลบลบหนี้ให้เข้าใจเสียก่อน

http://natjar2001law.blogspot.com/2012/03/1.html

มาตรา 346    สิทธิเรียกร้องรายใด ตามกฎหมาย ศาลจะสั่งยึด มิได้ สิทธิเรียกร้องรายนั้นหาอาจจะเอาไปหักกลบลบหนี้ได้ไม่ 

การจะทราบว่า สิทธิเรียกร้องรายใดศาลจะสั่งยึดไม่ได้ ต้องดูในตัวบทกฏหมายเป็นเรื่องๆ ไป  ในกฎหมายเฉพาะเรื่องนั้นๆ จะเขียนไว้ว่า  สิทธิดังกล่าว  “ไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี”  เป็นอันว่า สิทธิเช่นนั้นศาลจะสั่งยึดไม่ได้  ก็จะนำมาหักกลบลบหนี้กันไม่ได้ 
มาตรา 1598/41 สิทธิที่จะได้ค่าอุปการะเลี้ยงดูนั้น จะสละหรือ โอนมิได้ และไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี


ลูกหนี้คนที่สามที่ได้รับคำสั่งศาลห้ามใช้เงินแล้ว จะยกเอาสิทธิเรียกร้องในหนี้อันตนได้มาภายหลังคำสั่งห้ามนั้นขึ้นหักกลบลบหนี้กับลูกหนี้ในคดีนั้นไม่ได้ 
มาตรา 347 ลูกหนี้คนที่สามหากได้รับคำสั่งศาลห้ามมิให้ใช้เงิน แล้ว จะยกเอาหนี้ซึ่งตนได้มาภายหลังแต่นั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ ผู้ที่ขอให้ยึดทรัพย์นั้น ท่านว่าหาอาจจะยกได้ไม่ 
เช่น  ดำ  เป็นลูกหนี้เงินกู้แดง  ๕๐๐๐ บาท  แดงเป็นลูกหนี้ฟ้า  ๕๐๐๐  บาท  ต่อมาฟ้าได้ฟ้องให้แดงชำระหนี้  ศาลได้มีคำสั่งห้ามดำชำระหนี้แก่แดง (อายัดสิทธิเรียกร้อง)  ต่อมาแดงเป็นเจ้าค่าสินค้าดำ  ๕๐๐๐  บาท  แดงจะขอให้ดำนำหนี้เงินกู้ซึ่งตนเป็นลูกหนี้และศาลสั่งอายัดสิทธิแล้วหักกลบลบกับตนไม่ได้  (จะเป็นการทำให้ฟ้าเสียเปรียบ) 
มาตรานี้ใช้เฉพาะหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังคำสั่งห้ามชำระหนี้ของศาล  แต่ถ้าเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนศาลมีคำสั่งห้าม  สามารถนำมาหักกลบลบกันได้


วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

ความระงับแห่งหนี้ หักกลบลบหนี้ 1






หักกลบลบหนี้  เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งจะทำให้เกิดความระงับแห่งหนี้  ซึ่งมีหลักเกณฑ์  วิธีการ  ระยะเวลาที่จะหักกลบลบกันได้ และข้อห้ามตามที่กฎหมายบัญญัติไว้  
มาตรา 341 ถ้าบุคคลสองคนต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดย มูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนด จะชำระไซร้ ท่านว่าลูกหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ ของตนด้วยหักกลบลบกันได้เพียงเท่าจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ทั้งสอง ฝ่ายนั้น เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ฝ่ายหนึ่งจะไม่เปิดช่องให้หักกลบลบกันได้
http://www.kodmhai.com/Pickodmhai/Spac1.gifบทบัญญัติดั่งกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ หากเป็น การขัดกับเจตนาอันารคู่กรณีได้แสดงไว้ แต่เจตนาเช่นนี้ท่านห้ามมิให้ ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต 
หลักเกณฑ์สำคัญในการหักกลบลบหนี้
           
การจะนำหนี้มาหักกลบลบกันได้นั้น จะต้องปรากฏว่า บุคคลทั้งสองฝ่ายต่างมีความผูกพันต่อกันในฐานะต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน  เช่น  ดำ กู้เงินแดง ๕๐๐๐ บาท  ต่อมาแดงมาซื้อของร้านดำเป็นจำนวนเงิน ๓๐๐๐ บาท  เช่นนี้จะเห็นว่า ดำเป็นลูกหนี้เงินกู้แดง และแดงก็เป็นลูกหนี้ค่าสินค้าดำ  กรณีเช่นนี้  ดำและแดงสามารถนำยอดหนี้ที่ทั้งสองฝ่ายต่างค้างชำระต่อกัน  เป็นจำนวนที่ตรงกันมาหักกลบลบกันได้ คือ ๓๐๐๐ บาท 
            การจะนำหนี้มาหักกลบลบกันได้ ต้องปรากฏว่า หนี้นั้นต้องมีวัตถุแห่งหนี้เป็นอย่างเดียวกัน  เช่น หนี้เงินกับหนี้เงิน แม้ว่าจะมาจากมูลหนี้คนละมูลกัน ดังตัวอย่างข้างต้น  จะเห็นว่าเป็นหนี้เงินเหมือนกัน แต่หนี้ที่แดงต้องชำระแก่ดำเป็นหนี้ที่มาจากมูลหนี้กู้ยืม  ส่วนหนี้ที่ดำต้องชำระแก่แดงเป็นหนี้ที่มาจากมูลหนี้ซื้อขาย     หรือกรณีวัตถุแห่งหนี้เป็นสังกมะทรัพย์  ต้องเป็นสังกมะทรัพย์ชนิดเดียวกันหรือใช้แทนกันได้  (กล่าวคือมีค่าและราคาประมาณเดียวกัน) ก็สามารถหักกลบลบกันได้ เช่น ข้าวสารกับข้าวเหนียว  แต่ข้าวกับเกลือ  มีราคาต่างกันจะนำมาหักกลบลบกันไม่ได้    
            หนี้เงินจะนำมาหักกลบลบกับสังกมะทรัพย์ไม่ได้ 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2500
จำเลยจะขอให้ศาลหักกลบลบหนี้เงินที่จำเลยติดค้างโจทก์และค่าเช่ากระบือที่ค้างอยู่ กับข้าวเปลือกของโจทก์ที่ฝากจำเลย และซึ่งจำเลยจะต้องส่งมอบคืนแก่โจทก์ไม่ได้เพราะมูลหนี้ไม่เป็นวัตถุอย่างเดียวกัน
ระยะเวลาที่จะขอหักกลบลบหนี้กันได้นั้น ต้องปรากฏว่า หนี้ทั้งสองรายต่างถึงกำหนดชำระแล้ว  เช่น  หนี้เงินกู้ที่แดงไปกู้ดำ ถึงกำหนดชำระวันที่  ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๕  หนี้ค่าสินค้าที่ดำไปซื้อจากแดง  ถึงกำหนดชำระวันที่  ๒๐  เมษายน  ๒๕๕๕   ดังนี้  ทั้งสองจะแสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้และมีผลเป็นการหักกลบลบหนี้กันได้ต่อเมื่อถึงวันที่  ๒๐  เมษายน  ๒๕๕๕ หรือหลังจากนั้นเท่านั้น  จะขอหักกลบลบหนี้กันก่อนหน้านี้ไม่ได้ 
สภาพแห่งหนี้ต้องเปิดช่องให้   ถ้าสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้หักกลบลบกันได้ ก็ไม่สามารถจะหักกลบลบกันได้  แม้ว่าวัตถุแห่งหนี้จะเป็นอย่างเดียวกันก็ตาม  เช่น  ดำและแดง ต่างมีหนี้ต้องส่งมอบรถยนต์ให้แก่กัน  แม้วัตถุแห่งหนี้จะเป็นอย่างเดียวกันคือหนี้ส่งมอบ  ทรัพย์เป็นประเภทเดียวกันคือรถยนต์  แต่ก็หักกลบลบกันไม่ได้ เพราะรถยนต์ย่อมมีความต่างกันในยี่ห้อ  ในสภาพ  ในราคาของตัวรถ  หรือ  หนี้ที่มีวัตถุประสงค์เป็นหนี้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการจะนำมาหักกลบลบกันไม่ได้ เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ เช่น ดำมีหนี้ต้องร้องเพลงให้ในงานวันเกิดแดง  ส่วนแดงต้องวาดภาพให้ดำ  จะนำหนี้กระทำการร้องเพลงและวาดภาพมาหักกลบลบกันไม่ได้ แม้จะมีวัตถุแห่งหนี้เป็นหนี้กระทำการเหมือนกันก็ตาม
การแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้
มาตรา 342 หักกลบลบหนี้นั้น ทำได้ด้วยคู่กรณีฝ่ายหนึ่งแสดง เจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่ง การแสดงเจตนาเช่นนี้ท่านว่าจะมีเงื่อนไขหรือ เงื่อนเวลาเริ่มต้นหรือเวลาสิ้นสุดอีกด้วยหาได้ไม่
       การแสดงเจตนาดั่งกล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านว่ามีผลย้อนหลัง ขึ้นไปจนถึงเวลาซึ่งหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้นจะอาจหักกลบลบกันได้เป็น ครั้งแรก 


การหักกลบลบหนี้นั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องได้รับความยินยอมของอีกฝ่ายหนึ่งก่อนจึงจะหักกลบลบกันได้  แม้ว่าจะทำการหักกลบลบหนี้โดยขืนใจอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม  และการแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้กฏหมายไม่ได้กำหนดแบบของสัญญาไว้  จะทำโดยวาจาก็ได้
ฎีกาที่  2163/2548   ป.พ.พ. มาตรา 341 วรรคหนึ่ง ไม่ได้กำหนดว่า การหักกลบลบหนี้จะต้องได้รับความยินยอมของอีกฝ่ายหนึ่งก่อน เมื่อบริษัท บ. เป็นลูกหนี้ค่าสินค้าแก่โจทก์โดยมีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันและหนี้ดังกล่าวถึงกำหนดชำระแล้ว แต่ลูกหนี้ไม่ยอมชำระ จึงถือว่าลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์แทนลูกหนี้ และจำเลยตกเป็นลูกหนี้ของโจทก์ตั้งแต่เวลาที่ลูกหนี้ผิดนัดเป็นต้นไป ในขณะเดียวกันโจทก์ก็เป็นลูกหนี้ของจำเลยตามมูลหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งหนี้ดังกล่าวก็ถึงกำหนดชำระแล้วเช่นกัน เมื่อขณะที่จำเลยทำสัญญาค้ำประกันทั้งสองฝ่ายไม่ได้แสดงเจตนาไม่ให้นำหนี้ที่มีอยู่ต่อกันนั้นมาหักกลบลบกัน จำเลยจึงมีสิทธิที่จะนำหนี้ดังกล่าวมาหักกลบลบกันได้ โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ หนี้ที่ยังมีข้อต่อสู้ที่นำมาหักกลบลบหนี้ไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 344 หมายถึงหนี้ที่ฝ่ายหนึ่งอ้างแล้วอีกฝ่ายหนึ่งมีข้อโต้แย้งไม่ยอมรับในข้อสาระสำคัญ ซึ่งมีผลกระทบถึงความรับผิดชอบในหนี้ดังกล่าวหรือจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิด  จำเลยได้แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้ไปยังโจทก์ ขอให้นำหนี้ตามสัญญาค้ำประกันจำนวน 9,119,733.86 บาท หักกลบลบกันกับหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 20,000,000 บาท ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2540 แต่โจทก์ยื่นคำขอฟื้นฟูกิจการและศาลได้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของโจทก์เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2542 การหักกลบลบหนี้จึงเกิดขึ้นและมีผลโดยสมบูรณ์ไปก่อนที่จะมีการฟื้นฟูกิจการของโจทก์ หนี้ที่มีอยู่แต่ละฝ่ายระงับไปเท่ากับจำนวนที่ตรงกันในมูลหนี้ ซึ่งในขณะนั้นมูลหนี้ที่จำเลยนำไปขอหักกลับยังคงมีอยู่และยังมิได้ระงับไป แม้ต่อมาภายหลังจำเลยได้นำหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 20,000,000 บาท ไปยื่นขอรับชำระหนี้ในคดีที่โจทก์ขอฟื้นฟูกิจการ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้จำเลยได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน ก็ไม่ทำให้การหักกลบลบหนี้ดังกล่าวระงับหรือสิ้นผลไป

         
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2516
การหักกลบลบหนี้นั้น แม้จำเลยจะแสดงเจตนาไปฝ่ายเดียวก็เป็นอันหักกลบลบหนี้กันได้
จำเลยเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ กำหนดชำระภายในวันที่ 1 เมษายน 2497 และโจทก์เป็นหนี้ค่าจ้างว่าความจำเลยอยู่สองคดี คดีแรกคดีถึงที่สุดใน พ.ศ.2501 คดีที่สองคดีถึงที่สุดใน พ.ศ.2504 ดังนี้ จำเลยย่อมอยู่ในฐานะที่อาจหักกลบลบหนี้ได้แม้จำเลยจะได้แสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ไปยังโจทก์เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2505 ซึ่งสิทธิเรียกร้องชำระหนี้ค่าจ้างว่าความของจำเลยขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่สิทธิในการหักกลบลบหนี้ของจำเลยย่อมมีผลใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 344 และการแสดงเจตนาของจำเลยดังกล่าวก็มีผลย้อนหลังขึ้นไปจนถึงเวลาซึ่งหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้นจะอาจหักกลบลบกันได้เป็นครั้งแรก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 342 วรรค 2 กล่าวคือ หนี้ค่าจ้างว่าความคดีแรกย้อนไปถึง พ.ศ.2501 หนี้ค่าจ้างว่าความคดีที่สอง ย้อนไปถึง พ.ศ.2504 ซึ่งสิทธิเรียกร้องของจำเลยยังไม่ขาด จึงหักกลบลบกันกับหนี้เงินกู้ของโจทก์หมดสิ้นแล้ว ไม่มีหนี้ที่โจทก์จะนำมาฟ้องได้อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2523
ผู้ค้ำประกันลูกหนี้ต่อธนาคารมีเงินฝากในธนาคารเจ้าหนี้ลูกหนี้ผิดนัดผู้ค้ำประกันต้องรับผิดต่อธนาคาร ธนาคารหักเงินของผู้ค้ำประกันที่ฝากไว้กับธนาคารนั้นเมื่อใดก็ได้

          การหักกลบลบหนี้จะกระทำโดยมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ได้  กล่าวคือ  การหักกลบลบหนี้จะต้องกระทำโดยปราศจากเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา
          ไม่ว่าจะหักกลบลบหนี้กันล่ากว่าวันที่หนี้ทั้งสองฝ่ายถึงกำหนดชำระแล้วเพียงใด การหักกลบลบหนี้นั้นก็ให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่หนี้ของทั้งสองฝ่ายถึงกำหนดชำระ  เช่น  ตามตัวอย่างข้างต้น  ดำและแดงมิได้แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้กันในวันที่  ๒๐  เมษายน  ๒๕๕๕  แต่มาแสดงเจตนาหักกลบลบหนี้กันวันที่  ๑๕ พฤษภาคม  ๒๕๕๕  ก็ให้ถือว่า หนี้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันระงับไปตั้งแต่วันที่  ๒๐ เมษายน  ๒๕๕๕  จึงมีผลให้ไม่มีการคิดดอกเบี้ยระหว่างกันนับตั้งแต่วันที่  ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕  เพราะถือว่าหนี้ระงับไปตั้งแต่วันดังกล่าวแล้ว

บทความต่อไปจะได้กล่าวถึงข้อห้ามในการหักกลบลบหนี้

อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก
การกู้หนี้ เป็นทุกข์ในโลก

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

สิทธิในการตายกับการยุติการรักษา



เหตุควรฆ่าใครในโลกไม่มี

ในทางพุทธศาสนา  การฆ่าสัตว์เป็นบาป เป็นอกุศลกรรมในอกุศลกรรมบถ  
ในทางกฎหมาย  การฆ่าผู้อื่น เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา  ๒๘๘ 
การตัดชีวิตผู้อื่นย่อมไม่อาจจะกระทำได้ด้วยประการทั้งปวง  แม้การุณยฆาตก็ไม่อาจจะกระทำได้

สืบเนื่องจาก  พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  ๒๕๕๐ บัญญัติไว้ในมาตรา  ๑๒

มาตรา 12 บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไป เพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้

การ ดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่ง แล้ว มิให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง
จนถึงมีการออก กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ. ๒๕๕๓
ก็ไม่ได้หมายความว่า  การฆ่าด้วยความกรุณาหรือการุณยฆาตจะเกิดขึ้นในประเทศไทย  ในต่างประเทศ  เช่น  ประเทศสวิสเซอร์แลนด์กฎหมายเปิดช่องให้พิจารณาได้ว่า แพทย์สามารถกระทำการุณยฆาตได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ตราบใดที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าไม่มีมูลเหตุ
ที่ จงใจท าให้ผู้อื่นตายและในประเทศเนเธอร์แลนด์ออกกฎหมายรองรับ การุณยฆาต ตั้งแต่ปี 2539
ในประเทศออสเตรเลีย การุณยฆาตกระทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยใช้
โปรแกรมสำเร็จรูป death-by–laptop ประกอบด้วย สายยางต่อกับเข็มฉีดยาที่บรรจุยาระงับความรู้สึก เช่น barbiturate ที่ฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำ  อุปกรณ์ดังกล่าวจะทำงานโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
การยุติการรักษาคือการหยุดการรักษาโดยวิธีการทางการแพทย์ เพื่อยื้อชีวิตผู้ป่วยต่อไป  และผู้ป่วยจะถึงแก่ความตายในที่สุด   การยุติการรักษาดังกล่าวจึงไม่ใช่  “การุณยฆาต” ตามความหมายสากล  และไม่เป็นปานาติบาต  ไม่ผิดศีล  ไม่ล่วงในอกุศลกรรมบถ
อย่างไรก็ดี  การที่แพทย์กระทำด้วยประการใดๆ ให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตายโดยมิใช่การยุติการรักษาเท่านั้น  แพทย์ยังคงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานฆ่าผู้อื่นอยู่ 
การยุติการรักษาจึงมีผลเพียง  แพทย์ไม่มีความผิดตามจริยธรรมการแพทย์ที่จะต้องช่วยชีวิตมนุษย์ จะหยุดหรือปฏิเสธการรักษาไม่ได้เท่านั้นเอง

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

ผลธรรมดา มาตรา ๖๓




ในเรื่องของผลธรรมดาตามมาตรา  ๖๓  นี้เป็นเรื่องที่นักเรียนกฎหมายมีความเข้าใจน้อย สับสน และไม่ชัดเจน   บทความนี้อาจจะทำให้นักเรียนกฎหมายมีความเข้าใจชัดเจนขึ้น

มาตรา ๖๓   ถ้าผลของการกระทำความผิดใดทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น ผลของการกระทำความผิดนั้นต้องเป็นผลที่ตามธรรมดา ย่อมเกิดขึ้นได้
สังเกตว่า  กฎหมายต้องการเรื่อง "ผล"  จึงใช้คำว่า  ถ้าผลของการกระทำความผิดใด...
ทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษ "หนักขึ้น"
ชื่อว่า "ผลธรรมดา" เป็นผลที่ไม่ธรรมดา เพราะถ้าผลที่เป็นธรรมดา ใช้ทฤษฎี "ผลโดยตรง" ก็เพียงพอ แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นไม่ธรรมดา คือผิดไปจากเจตนาหลักและผลนั้นเองทำให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น จึงจะวินิจฉัยด้วย "ผลธรรมดา"

จากความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ตามมาตรา  ๒๙๕  ผลเป็นอันตรายสาหัสตามมาตรา ๒๙๗  ต้องอาศัยมาตรา  ๖๓  ในการวินิจฉัย  เพราะ  ๒๙๗ เป็นบทหนักของ ๒๙๕ (อยู่ในหมวดเดียวกัน)

จากความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา ๒๙๕  ผลถึงตาย ตามมาตรา ๒๙๐  ใช้เพียงทฤษฎีผลโดยตรง  ไม่ต้องวินิจฉัยด้วยมาตรา  ๖๓  เพราะ  ๒๙๐  มิใช่บทหนักของ ๒๙๕
(เป็นความผิดคนละหมวดกัน)

ถ้าเกิดเหตุแทรกแซง  ให้วินิจฉัยด้วยทฤษฎีมูลเหตุที่เหมาะสม เพื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผลว่าขาดกันหรือไม่ ต้องรับผิดเพียงผลใด โดยพิจารณาว่า เหตุแทรกแซงนั้นวิญญูชนคาดหมายได้หรือไม่  ถ้าคาดหมายได้ก็ต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้น  ถ้าวิญญูชนคาดหมายไม่ได้  ก็ไม่ต้องรับผิด 

การพิจารณาบทเบาบทหนัก  ผลฉกรรจ์  จึงมีความสำคัญที่นักนิติศาสตร์ต้องทำความเข้าใจให้ขาด  ว่าสิ่งไรเป็นเหตุฉกรรจ์  สิ่งไรเป็นผลฉกรรจ์  (เหตุฉกรรจ์ไม่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีต่างๆ เหล่านี้)

ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ศาลฎีกาใช้คำว่า "ผลธรรมดา" แล้วทำให้เกิดความสับสน เพราะศาลหมายจะใช้คำว่า ผลอันเป็นธรรมดา คือเป็นความธรรมดา หรือเป็นผลโดยตรงนั่นเอง แต่ศาลก้าวล่วงไปใช้คำว่า "ผลธรรมดา" ทำให้เกิดความสับสนว่าเป็น "ผลธรรมดาตามมาตรา ๖๓" ซึ่งไม่ใช่เลย เพราะมาตรา ๒๘๘ ไม่ใช่บทหนักของใคร แต่เป็นบทที่มีความรับผิดที่เป็นเอกเทศโดยตรงของตัวเอง

.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2528
จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถูกที่ด้านหลัง กระสุนปืนตัดบริเวณไขสันหลังขาด ผู้ตายเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวจนจดเท้าและถึงแก่ความตายสืบเนื่องมาจากบาดแผลที่ถูกยิงและภาวะติดเชื้ออย่างรุนแรงหลังจากเกิดเหตุ 9 เดือนเศษ ดังนี้ผู้ตายถึงแก่ความตายสืบเนื่องมาจากบาดแผลที่ถูกยิง แม้จะเนื่องจากการรักษาไม่ดีจนบาดแผลติดเชื้อ ก็เป็นผลธรรมดาอันสืบเนื่องมาจากการกระทำของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา

 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายผิน โดยเจตนาฆ่านายผินถึงแก่ความตายเนื่องจากบาดแผลที่จำเลยกับพวกร่วมกันยิง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๓, ๒๘๘
จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๓ ลงโทษจำคุก

จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่าผู้ตายถูกยิงเพียงได้รับบาดเจ็บ และถึงแก่ความตายหลังเกิดเหตุเป็นเวลาถึง ๙ เดือนเศษ เพราะบาดแผลติดเชื้อมิใช่ถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลที่ถูกยิงโดยตรงนั้น เห็นว่า ผู้ตายถูกยิงและถึงแก่ความตายสืบเนื่องมาจากบาดแผลที่ถูกยิง แม้จะเนื่องจากการรักษาไม่ดีจนบาดแผลติดเชื้อ ก็เป็นผลธรรมดาอันสืบเนื่องมาจากการกระทำของจำเลย เมื่อจำเลยร่วมกับพวกยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาพิพากษายืน.



อธิบายฎีกา
เมื่อจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย ผลคือผู้ตายถึงแก่ความตาย ย่อมเป็นผลโดยตรงตามเจตนาของจำเลย ไม่จำต้องนำเอามาตรา ๖๓ มาวินิจฉัย แต่ควรใช้ทฤษฎี ผลโดยตรง ประกอบเหตุแทรกแซง ซึ่งวิญญูชนคาดหมายได้ (วิญญูชนย่อมคาดหมายได้ว่า เมื่อเป็นแผลแล้วแผลจะติดเชื้อ) ตามคำพิพากษาฎีกานี้ ถ้าจะใช้ให้ถูกต้อง ต้องใช้ ทฤษฎี ผลโดยตรงประกอบเหตุแทรกแซง เพื่อวินิจฉัยในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผล ที่เหตุแทรกแซงดังกล่าวไม่ตัดผลของการกระทำ
ดูหมายเหตุท้ายฎีกา ของ ศ.ดร.เกรียติขจร วัจนะสวัสดิ์ ท่านเขียนไว้ชัดเจน ตรงตามหลักทฤษฎี
ฎีกาที่ 1478/2528 ข้อเท็จจริงว่าผู้ตายถูกยิงได้รับบาดเจ็บ และตายหลังจากถูกยิง 9 เดือน ความตายเกิดจากบาดแผลที่ถูกยิง ซึ่งผู้ตายรักษาตัวไม่ดีจนแผลติดเชื้อ ศาลฎีกาตัดสินให้จำเลยรับผิดในความตายโดยให้เหตุผลว่า ความตาย "เป็นผลธรรมดาอันสืบเนื่องมาจากการกระทำของจำเลย" แลดูประหนึ่งว่าเป็นการใช้หลักผลธรรมดาตามมาตรา 63 ซึ่งกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องของมาตรา 63 เพราะขณะยิงจำเลยก็เจตนาจะให้ผู้ถูกยิงตาย ในที่สุดผุ้ถูกยิงก็ตายสมเจตนาของจำเลยเมื่อไม่อยู่ในข่ายของมาตรา 63 จึงไม่ต้องพิจารณาหลัก"ผลธรรมดา" แต่ให้ดูว่าความตายอันเป็น "ผลโดยตรง" นั้นเกิดจากเหตุแทรกแซงที่คาดหมายได้หรือไม่ การที่ผู้เสียหายรักษาบาดแผลไม่ดีต้องถือว่าคาดหมายได้ จำเลยจึงต้องรับผิดในความตาย คำพิพากษาฎีกาที่ 1478/2528 จึงควรที่จะให้เหตุผลในทำนองว่า"จำเลยต้องรับผิดตามมาตรา 288 เพราะความตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย" ซึ่งน่าจะถูกต้องกว่าจะไปใช้หลักผลธรรมดา

http://lawdatabase.igetweb.com/index.php?mo=5&qid=500939

ฎีกาที่ 4563/2543 นี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยเรื่อง ผลโดยตรงได้เด็ดขาดชัดเจนมาก
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ขณะเกิดเหตุผู้ตายกับนายไพศาลขึ้นไปบนอาคารโรงเรียนเพื่อร่วมประเวณีกัน ต่อมาจำเลยทั้งสามตามขึ้นไปนายไพศาลจึงได้ผละออกมาจากผู้ตายซึ่งไม่ได้สวมกางเกงยืนหันหลังติดลูกกรงระเบียง จำเลยที่ 1 ถอดกางเกงเดินเข้าไปหาผู้ตายหันหน้าชนกันกับผู้ตายเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้ตาย แต่ผู้ตายไม่ยินยอมโดยร้องว่าให้ศาลคนเดียวคนอื่นไม่เกี่ยว จำเลยที่ 1 พยายามจะข่มขืนกระทำชำเราผู้ตาย ผู้ตายขัดขืนจนพลัดตกลงไปจากระเบียงอาคารโรงเรียนได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ถอดกางเกงเดินเข้าไปเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายในขณะที่ผู้ตายไม่ได้สวมกางเกงและยืนพิงลูกกรงระเบียงซึ่งสูงเพียงกันโดยผู้ตายมิได้ยินยอมที่จะให้จำเลยที่ 1 กระทำชำเรานั้น จำเลยที่ 1ย่อมเล็งเห็นได้ว่าหากผู้ตายหลบหลีกขัดขืนมิให้จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราแล้วอาจจะตกลงไปจากระเบียงอาคารโรงเรียนถึงแก่ความตายได้ เมื่อผู้ตายดิ้นรนขัดขืนเพื่อมิให้จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราจนผู้ตายพลัดตกลงไปจากระเบียงอาคารโรงเรียนจนได้รับบาดเจ็บและตายในเวลาต่อมา จึงเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 1 อันเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้ตายพยานฐานที่อยู่....

ความผิดในมาตรา ๒๘๘ ไม่มีวันที่จะเอามาตรา ๖๓ มาวินิจฉัยได้เลย เพราะไม่ใช่บทหนักหรือผลฉกรรจ์ของมาตราใด

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

การประนีประนอมยอมความ


ความเบื้องต้น
               สัญญาประนีประนอมยอมความกฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา ๘๕๐-๘๕๒ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์
              มาตรา ๘๕๐ บัญญัติว่า การประนีประนอมยอมความ คือ สัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนให้แก่กัน
            มาตรา ๘๕๑ ใจความสำคัญ คือ สัญญาประนีประนอมจะใช้บังคับกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลงลายมือตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญจึงจะฟ้องร้องต่อศาลได้
         มาตรา ๘๕๒ ใจความสำคัญ คือ ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความ คือ ทำให้การเรียกร้อง ซึ่งแต่ละฝ่ายยอมสละได้ระงับลง และได้สิทธิใหม่ตามที่ปรากฏในสัญญาประนีประนอมยอมความ
การประนีประนอมยอมความเกิดได้อย่างไร
การประนีประนอมยอมความเกิดได้ ๒ ทาง
 (๑) โดยตัวคู่ความเอง เมื่อข้อพิพาทเกิดขึ้นไม่ว่าเพิ่งเริ่มเกิดหรือเมื่อนำข้อพิพาทยื่นฟ้องต่อศาลแล้วก็ตารมอาจเกิดสถานการณ์ที่เหมาะสมที่เอื้ออำนวยให้คู่ความสองฝ่ายโอนอ่อนเข้าหากันทำนองต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันสั้นยาวให้แก่กันคู่ความทั้งสองฝ่ายอาจตกลงใจกันทำสัญญายอมความกันได้ด้วยตัวของคู่ความเองก็ได้   
(๒) โดยการไก่เกลี่ยของบุคลทีสาม    เมื่อเกิดมีข้อพิพาทขึ้นระหว่างคู่ความสองฝ่ายจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ในการป้องกันตนเองตลอดจนรักษาผลประโยชน์ของตน มนุษย์จะเกิดความคิดเข้าข้างตนเองและจะเกิดความรู้สึกโกรธที่สิทธิของตนเองถูกล่วงละเมิด  โดยเฉพาะความรู้สึกของผู้สูญเสีย  โดยธรรมชาติข้อนี้ทำให้คู่ความมักจะยึดมั่นในจุดยืนของตนเองว่าต้องเป็นอย่างที่ตนคิดหรือคาดการณ์ไว้และจะไม่ยอมโอนอ่อนแม้จะถูกเจรจาต่อรองจากฝ่ายตรงข้าม  สภาพดังกล่าวยิ่งจะเกิดความขัดแย้งรุนแรงถ้าหากต่างฝ่ายต่างก็ถือว่าตนเองเป็นฝ่ายที่ถูกต้องมากกว่า   ความขัดแย้งทำให้เกิดอารมณ์เข้ามาแทรก  ยงถ้าหากได้แรงยุแหย่จากบุคคลอื่น  สภาพอารมณ์จะยิ่งรุนแรง  ทิฐิมานะการรักษาศักดิ์ศรีจะเกิดตามมาทำให้จุดยืนเหนียวแน่น  ยากแก่การเจรจาต่อรอง
                    ด้วยเหตุดังกล่าวหากมีบุคคลที่สามารถเข้ามาเป็นกาวใจ  โดยสามารถเข้าไปนั่งในหัวใจของทั้งสองฝ่ายได้อย่างสนิทแนบแน่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ ตั้งใจและเป็นกลางอย่างแท้จริง
บุคคลที่สาม  ก็สามารถจะโยกคลอนจุดยืนของแต่ละฝ่ายให้อ่อนโอนลงมาหากันได้จนสุดท้ายต่างฝ่ายต่างพบทางออกของปัญหาที่ก่อนนั้นเป็นทางตันจนสามารถตกลงกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันได้ในลักษณะต่างฝ่ายต่างพอใจในที่สุด
ประเภทของการประนอมยอมความ  
การประนีประนอมยอมความนั้นมีอยู่ด้วยกัน ๒ ชนิด คือ
(๑)    การประนีประนอมยอมความนอกศาล
(๒)การประนีประนอมยอมความในศาล
                การประนีประนอมยอมความนอกศาล    เป็นกรณีที่ผู้มีข้อพิพาทต่อกันได้ทำความตกลงกัน  ซึ้งอาจเป็นกรณีที่คู่กรณีพิพาทได้เจรจาทำความตกลงกันเองหรือมีองค์กรบุคคลภายนอกเข้าดำเนินการเป็นคนกลางทำการไกล่เกลี่ยก็ได้จนในที่สุดสามารถทำความตกลงกันได้  แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันได้ 
               การประนีประนอมยอมความในศาล    เป็นกรณีที่เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นได้นำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาล  และในระหว่างที่ศาลกำลังพิจารณาคดีดังกล่าวอยู่  คู่กรณีได้ทำความตกลงกันได้ในข้อพิพาทดังกล่าว  ทำให้ข้อพิพาทที่มีอยู่นั้นสิ้นสุดลงจึงได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันขึ้นแล้วเสนอให้ศาลพิจารณา ซึ่งเมื่อศาลเห็นว่าสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายศาลก็จะพิพากษาให้เป็นไปตามที่ได้ยอมความกันดังกล่าว
ตัวอย่างเช่น   นายดำเช่าบ้านนายแดงอยู่อาศัยในอัตราค่าเช่าเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ต่อมาปรากฏว่านายดำค้างค่าเช่า ๕ เดือน  เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท  นายแดงจึงบอกเลิกสัญญาเช่า  ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระจากนายดำต่อศาลระหว่างการพิจารณาของศาล   นายดำได้ทำความตกลงกับนายแดงในที่สุดตกลงกันได้โดยนายดำจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านเช่าภายใน ๑ เดือน และนายแดงไม่ติดใจเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระต่อไป  จึงได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเสนอต่อศาลและศาลได้พิพากษาให้เป็นไปตามที่ยอมความกันนั้น

              ข้อแตกต่างระหว่างการประนีประนอมยอมความที่ทำนอกศาลและในศาล   คือ  ในกรณีการประนีประนอมยอมความนอกศาล  หากต่อมาภายหลังคู่สัญญาบิดพลิ้วไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญา  ฝ่ายที่ได้รับความเสียหายก็จะต้องนำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไปฟ้องร้องต่อศาลเพื่อบังคับให้อีกฝ่ายปฏิบัติตามสัญญานั้นอีกที   ส่วนสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลหากต่อมาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ต้องนำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาลอีกครั้งโดยผู้เสียหายมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอให้บังคับคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามสัญญานั้นได้ทันที กล่าวคือ   คู่สัญญาฝ่ายนั้นอาจถูกยึดหลักอายัดทรัพย์สินมาขายทอดตลาดชำระหนี้ให้ฝ่ายผู้เสียหายได้  หรือบังคับให้ต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ให้ออกไปจากบ้านเช่าตามที่ระบุไว้ในคำพิพากษาได้


ประนีประนอมยอมความ
มาตรา ๘๕๐   อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่ หรือ จะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน
หลักเกณฑ์สำคัญ
๑.   ต้องมีคู่สัญญาสองฝ่าย  สัญญาประนีประนอมยอมความนั้น  มีลักษณะเป็น
สัญญาต่างตอบแทน  ประกอบด้วยคู่สัญญาสองฝ่าย  ฝ่ายละกี่คนก็ได้
๒.  ตกลงระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่ หรือ จะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไป    

ฎีกาที่  ๑๐๘/๒๕๔๕   โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องที่ดิน  นายอำเภอเรียกโจทก์และจำเลยมาเจรจากันโดยมีการบันทึกคำเปรียบเทียบไว้ว่าจำเลยตกลงแบ่งที่ดินให้แก่โจทก์ตามส่วนที่ตกลงกัน  บันทึกคำเปรียบเทียบดังกล่าวมีลักษณะเป็นการตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่มีอยู่แล้วในขณะนั้นให้เสร็จไป  จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  850  อันมีผลให้สิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวอีก  คงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  852  เท่านั้น

ฎีกาที่ ๒๕๗๖/๒๕๓๑ คดีนี้ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์จำนวน ๙ ส่วนใน ๒๑ ส่วน ในระหว่างบังคับคดีโจทก์ จำเลยทั้งสี่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยศาลชั้นต้นรับรู้เป็นผู้ทำให้มีข้อตกลงกันไม่ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาคดีนี้ และให้ยุติคดีทุกคดีทั้งคดีที่พิพากษาแล้วและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล และตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินกันใหม่ เมื่อโจทก์จำเลยทั้งสี่ได้ลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวต่อหน้าศาลแล้ว จึงเป็นสัญญาที่ใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ โดยมีผลทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๒การบังคับคดีนี้และมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาจึงเป็นอันระงับสิ้นไป โจทก์ จำเลยทั้งสี่จึงต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว เมื่อจำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยตามสิทธิที่เกิดขึ้นตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจะกลับมาขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งมูลหนี้ระงับไปแล้วหาได้ไม่. (อ้าง ฎีกา ๖๒๖/๒๔๙๑)
            ๓เป็นสัญญาที่ต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน 
สัญญาประนีประนอมยอมความนั้น  เป็นสัญญาระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นในอนาคต (สามารถตกลงทำสัญญาประนีประนอมฯ กันไว้ล่วงหน้าได้) ให้ระงับไป

ฎีกาที่  ๓๗๔/๒๔๗๘  สัญญาที่ไม่มีข้อความอันเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาท  ไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ 
ข้อความเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาท  เช่น  ไม่ติดใจเรียกร้อง,  ยินยอมให้............... เป็นต้น

ฎีกาที่ ๔๑๐/๒๕๐๔   โจทก์จำเลยทำสัญญาให้กรรมการวัดสอบเขตที่ดินตามเนื้อที่ในโฉนดของโจทก์  หากปรากฏว่าจำเลยปลูกรั้วล้ำเข้าไปในเขตของโจทก์จำเลยยอมรื้อรั้ว เมื่อเริ่มรังวัดเพียงด้านหนึ่ง ปรากฏว่ารั้วของจำเลยล้ำเข้าไปในเขตที่ของโจทก์  1.20 เมตร  จำเลยจึงไม่ยอมให้วัดต่อไป สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยดังกล่าวนี้   ย่อมเป็นสัญญาที่ใช้บังคับกันได้ตามกฎหมายเมื่อจำเลยไม่ยินยอมให้กรรมการวัดตามสัญญาที่ตกลงกัน จำเลยก็เป็นฝ่ายผิดสัญญา  โจทก์ย่อมจะมาฟ้องขอให้บังคับจำเลยมิให้ขัดขวางในการที่กรรมการจะทำการตามสัญญานั้นได้

ฎีกาที่  ๒๒๑/๒๕๐๐    โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์บาดเจ็บสาหัส ขอให้ลงโทษทางอาญา ในระหว่างพิจารณาปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยยอมใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวนหนึ่ง  โจทก์ยอมรับตามที่จำเลยชำระและไม่ติดใจว่ากล่าวเอาโทษจำเลยต่อไป ศาลพิพากษาให้รอการลงโทษจำเลย เช่นนี้  ถือว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โจทก์จะมาฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งอีกไม่ได้

ฎีกาที่  ๒๖๒๔/๒๕๑๖  คู่กรณีในคดีอาญาไม่ว่าจะเป็นความผิดอันยอมความกันได้หรือไม่ก็ตาม อาจตกลงประนีประนอมยอมความเรื่องค่าเสียหายในทางแพ่งอันพึงมีพึงได้ตามสิทธิของตนได้   กฎหมายห้ามเฉพาะการตกลงประนีประนอมยอมความเพื่อระงับหรืองดการฟ้องคดีอาญาที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้น
            สัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำให้ไว้แก่โจทก์เนื่องจากจำเลยบุกรุกขึ้นไปบนเรือนโจทก์ในเวลากลางคืนและกระทำอนาจารโจทก์มีข้อความว่า  จำเลยยอมเสียค่าทำขวัญให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวนหนึ่งภายในเวลาที่กำหนด หากไม่ทำตาม ยอมให้ดำเนินคดีต่อไปนั้น   เป็นเรื่องทำสัญญาประนีประนอมยอมความชดใช้ค่าเสียหาย ฐานละเมิดให้แก่โจทก์ในทางแพ่งเท่านั้น   ไม่ใช่ค่าเสียหายที่เรียกร้องเพื่อระงับการฟ้องคดีอาญาซึ่งกฎหมายห้ามไว้แต่อย่างใดจึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้
            สัญญาประนีประนอมยอมความนั้น กฎหมายมิได้บังคับว่าคู่กรณีจะต้องลงชื่อทั้งสองฝ่าย แม้จำเลยผู้เดียวลงชื่อรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความได้
ฎีกาที่  ๓๔๓/๒๕๓๔       แม้สัญญาจะใช้ชื่อเรียกว่า      หนังสือรับสภาพหนี้แต่ข้อความในสัญญานั้นจำเลยยอมรับว่ามีหนี้อยู่กับโจทก์จริงและยอมตกลงผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นงวด ๆ  จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นการที่โจทก์จำเลยทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทที่มีขึ้นตามมูลหนี้เดิมให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน   กรณีเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม  ป.พ.พ. มาตรา 850 หาใช่เป็นการรับสภาพหนี้โดยกำหนดเวลาและเงื่อนไขให้จำเลยชำระหนี้ไม่เมื่อสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงมีอายุความ 10 ปีตาม  ป.พ.พ. มาตรา 168

การประนีประนอมยอมความนี้มีผลให้ข้อเรียกร้องเดิมระงับไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามข้อความในสัญญาที่ทำกันขึ้นใหม่นั้น นอกจากนั้นยังทำให้อายุความตามหนี้เดิมสะดุดหยุดลง แล้วอายุความเริ่มต้นเดินใหม่ต่อไปอีก ๑๐ ปี บางกรณีอายุความตามสัญญาเดิมอาจจะสั้นกว่า๑๐ ปี แต่เมื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันอายุความก็จะยาวออกไปอีก ๑๐ ปี เหมือน กันหมด เช่น คดีผิดสัญญาซื้อขาย  ซึ่งกฎหมายกำหนดอายุความไว้เพียง ๒ ปี หมายความว่าพ้น ๒ ปีไปแล้วเรียกเอาไม่ได้ แต่ถ้าผู้ซื้อผู้ขายทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อชำระเงินภายในกำหนดใหม่ อาจเป็น ๖ เดือน หรือ ๘ เดือน ก็แล้วแต่จะตกลงกัน   โดยผู้ซื้อยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ขายดังนี้ อายุความเรียกร้องเอาเงินค่าสินค้านั้นจะยาวออกไปอีก ๑๐ ปี  ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจาก  คู่กรณีตกลงระงับสิทธิเรียกร้องในคดีผิดสัญญาซื้อขายกันแล้วนั่นเอง  อายุความในกรณีผิดสัญญาซื้อขายจึงถูกระงับไปด้วย  ต้องเริ่มอายุความใหม่เป็นกรณีอายุความของสัญญาประนีประนอมยอมความนั่นเอง

เนื้อหาของสัญญาต้องมีวัตถุประสงค์ที่ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน  กล่าวคือ  ต้องอยู่ภายใต้ มาตรา ๑๕๐ โดยถือเอาเจตนาของคู่กรณีที่แสดงออก ไม่มีวัตถุประสงค์ที่ขัดต่อกฎหมาย ไม่มีเงื่อนไขที่พ้นวิสัยที่จะปฏิบัติได้ หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน   เช่น  ดำ  กับ แดง  ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า ดำ ยอมปลดหนี้ให้แก่แดง  โดยที่แดงต้องช่วยขับรถที่บรรจุระเบิดไว้เต็มคันรถ  ไปจอดอยู่แถวๆ ถนนจรัญสนิทวงศ์ซึ่งการขนวัตถุระเบิดดังกล่าว   เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย   สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเป็นโมฆะ บังคับกันไม่ได้

คดีอาญาที่เป็นความผิดต่อแผ่นดิน  ยอมความกันไม่ได้  หากทำสัญญายอมความไปมีผลเป็นโมฆะไม่สามารถบังคับกันได้

ฎีกาที่  ๑๕๒๗/๒๕๑๓   โจทก์เป็นบิดาของเด็กหญิง ส. อายุ 14 ปี  ทำสัญญากับจำเลยที่ 2 และที่ 3   ซึ่งเป็นมารดาและลุงของจำเลยที่ 1 ว่า  โจทก์ได้แจ้งความไว้ว่าจำเลยที่ 1  พรากเด็กหญิง  ส.  ไปเสียจากโจทก์เพื่อการอนาจารบัดนี้ได้ตกลงกันว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยอมชดใช้เงินค่าสินสอดให้ 5,000 บาท  ถ้าไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ก็จะนำคดีมาฟ้องถ้าตกลงตามวันที่กล่าว โจทก์จะถอนคดี  การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3  ตกลงจะใช้เงินให้นั้นก็เพื่อให้โจทก์ถอดคดีข้อหาพรากผู้เยาว์   อันเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน  ข้อตกลงจะใช้เงินให้จึงตกเป็นโมฆะ เพราะมีวัตถุที่ประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนโจทก์จึงฟ้องบังคับจำเลยไม่ได้
ในกรณีคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา  คู่กรณีสามารถตกลงยอมความงดเว้นการใช้สิทธิเรียกร้องในทางแพ่งกันได้  ทั้งนี้ไม่ว่าคดีอาญาดังกล่าวจะเป็นความผิดต่อแผ่นดินหรือความผิดต่อส่วนตัว

ตามตัวอย่างในฎีกาที่ ๑๕๒๗/๒๕๑๓     หากเป็นการตกลงในข้อที่ว่า     โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่งอีก  การตกลงเช่นนี้ใช้ได้เพราะเป็นการตกลงในเรื่องทางแพ่งมิใช่ทางอาญา

ความสามารถในการทำสัญญา  
สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นการทำนิติกรรมอย่างหนึ่ง  ผู้ซึ่งสามารถทำสัญญาได้       จะต้องเป็นผู้มีความสามารถตามกฎหมายว่าด้วยความสามารถของบุคคล
ตัวแทนซึ่งได้รับมอบอำนาจทั่วไปจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้   ทนายความจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนคู่ความได้เฉพาะเมื่อมีการแต่งตั้งและระบุให้ชัดเจนในใบแต่งทนายเท่านั้น  มิฉะนั้นไม่สามารถทำได้
ฎีกาที่ ๑๔๑๓/๒๕๒๔    บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับนายปิติมีลักษณะ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ  เมื่อนายปิติไม่ได้รับมอบหมายเป็นหนังสือจากจำเลยให้นำหนังสือ
ประนีประนอมยอมความ  จึงถือไม่ได้ว่านายปิติทำแทนจำเลย หนังสือประนีประนอมยอมความไม่ผูกพันโจทก์และจำเลย   อ้างสัญญาประนีประนอมขึ้นต่อสู้ปัดความรับผิดไม่ได้


เนื้อหาของสัญญาประนีประนอมยอมความ     ไม่จำต้องสมบูรณ์อยู่ในเอกสารฉบับเดียว  จดหมายโต้ตอบที่เมื่อนำมาพิจารณารวมกันแล้วได้ความว่า  เจ้าหนี้และลูกหนี้ตกลงประนีประนอมยอมความกัน  ใช้เป็นหลักฐานแห่งสัญญาได้
หลักสำคัญในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความก็คือ ต้องให้ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบตามสัญญานั้นเป็นสำคัญหรือลายมือชื่อของตัวแทนของฝ่ายนั้นก็ได้ จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ เช่น เจ้าหนี้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว ลูกหนี้มิได้ลงลายมือชื่อในสัญญานั้น เจ้าหนี้ก็จะนำสัญญานั้นไปฟ้องร้องลูกหนี้ไม่ได้   ในทางกลับกันเจ้าหนี้ลูกหนี้ประนีประนอมยอมความกันด้วยปากเปล่า     ภายหลังลูกหนี้เขียนหนังสือถึงเจ้าหนี้กล่าวถึงข้อตกลงที่ได้ทำไปแล้ว   และลงลายมือชื่อมาในจดหมายนั้น   ย่อมถือว่าจดหมายนั้นเป็นหลักฐานแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความ   ซึ่งมีลายมือชื่อของลูกหนี้อยู่แล้ว  เจ้าหนี้ใช้จดหมายนั้นเป็นหลักฐานฟ้องร้องลูกหนี้



มาตรา 851   อันสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ถ้ามิได้มี หลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้ บังคับคดีหาได้ไม่

อธิบาย    การจะตอบว่า  เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือจะบังคับคดีไม่ได้ อันเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องนั้น  จะต้องมีข้อเท็จจริงชัดว่า  ได้ตกลงกันด้วยวาจา  ถ้าข้อเท็จจริงไปไม่ถึง  จะไปตอบว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือนั้นไม่ได้